
ยังคงเป็นกระแสเดือดในโลกออนไลน์ สำหรับกรณีของ ทราย สก๊อต ตั้งแต่ออกมาประกาศยุติบทบาทที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ เพราะมีดราม่าเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อุทยานท่องเที่ยวทางทะเลจากคนในพื้นที่ รวมถึงผู้ประกอบการ
ต่อมา ทราย ยังได้โพสต์ผ่านเพจ ทราย – Merman ชวนอธิบดีกรมอุทยานฯ มาคุยกันผ่านรายการสดถึงประเด็นปัญหาการอนุรักษ์ทะเล พร้อมบอกด้วยว่า “ทะเลเขารอผมอยู่” ซึ่งก็ทำให้นายอรรถพลเจริญ ชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่า กำลังให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลสรุปผลและคำร้องเรียนเกี่ยวกับทรายมา พิจารณายกเลิกคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษา เนื่องจากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ตักเตือนแล้วไม่แก้ไข
ซึ่งวันนี้(21 เม.ย. 68) ทราย สิรณัฐ สก๊อต ได้มาออกรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอ ของพี่สรยุทธ สุทัศนะจินดา เพื่อพูดคุยในประเด็นดราม่าต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดย ทราย บอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันยิ่งใหญ่มากกว่าผู้ชายคนหนึ่ง มุมที่มันดีมันก็เหลือเชื่อจริงๆ ว่าคนเขาเห็นในงานที่ผมทำ แล้วมุมที่มันเครียดมันก็ตามนั้นครับ แต่ตัวผมก็เรื่อยๆ ไป
มีคำถามจากชาวบ้าน คนในพื้นที่ ว่า ทรายรุนแรงไปไหม มาเจอกันคนละครึ่งทางได้ไหม?
ทราย บอกว่า อันนี้อาจจะฟังดูแปลกนะครับ หลังจากที่ผมไปทำงานกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จากที่ผมมาทำกับกรมอุทยานฯ กับที่ผมทำงานกับองค์กรแบบส่วนตัว ผมมองแล้วว่าเรื่องที่ผมพูดนักอนุรักษ์และคนอื่นๆ พูดมันนานมากแล้วครับ และเขาก็จะใช้วิธีแบบนี้แหละเยียวยาให้เจอกันครึ่งทาง ตอนแรกผมก็ไว้วางใจว่านี่คือวิธีที่ดี แต่ผมเห็นว่าหลายครั้งแล้วที่มันไม่ได้มีการมาเจอกันตรงกลาง การเจอกันตรงกลางมันไม่ได้เป็นเรื่องขาวดำ อย่างเช่น โยนสมอไม่ได้ เข้าไปในที่ฟื้นฟูไม่ได้ มันมีเหตุผลมากกว่าว่าทำไมมันเป็นเรื่องขาวดำ แล้วคุณอยากให้เรามาเจอกันครึ่งทาง คุณแค่อยากได้เหตุผลในการทำธุรกิจ ผลประโยชน์ส่วนตัว และทุกครั้งที่ผมเห็นว่าอุทยานฯ หรือเรื่องการอนุรักษ์ถอยออกมา พวกเขาก็จะเริ่มกินที่เข้ามา
“ผมไม่ได้รุนแรง แต่ผมแค่รู้สึกว่าขาวกับดำ ขาวก็ขาว ดำก็ดำ อย่างเช่น ขับรถข้ามทางม้าลายตอนที่มันไฟแดง แล้วคุณจะมาบอกว่าไม่เป็นไรนะเจอกันครึ่งทาง เพราะชีวิตคุณลำบากคุณก็ทำไปเลย แบบนี้มันไม่ใช่อ่ะครับ ถ้าเกิดทุกคนอ้างข้ออ้างแบบนี้สังคมเราก็ล้มเหลว”

พี่สรยุทธ ถามต่อว่า ตึงเกินไหมมั้ย?
ทราย บอกว่า ถ้าเกิดเขารักจริงสภาพมันคงไม่เป็นเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมให้คนเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำมันไม่เหมือนกันครับ ผมมีภาพเก็บไว้หมด ปะการังตอนนี้มันเป็นยังไง เขาโยนสมอกันเยอะขนาดไหน มันไม่เหลืออะไรเลยครับ 80% มันตายหมด ถ้าเกิดเขารักจริงเขาจะไม่ทำแบบนี้ เขาอยู่ในพื้นที่มาตั้งกี่ปี ผมเพิ่งเกิดมาเกือบ 30 ปี เขาอยู่ในพื้นที่มา 60 ปี ทำไมเรื่องที่ผมพูดตอนนี้ ปีนี้ เป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา ในเมื่ออุทยานอยู่มาก่อนที่ผมเกิดด้วยซ้ำ เรื่องที่ผมพูดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คนที่อยู่สมควรรู้อยู่แล้วครับ
ส่วนเรื่องดราม่า นักท่องเที่ยวเหยียดเจ้าหน้าที่ จนทรายให้เรือพากลับเข้าฝั่งนั้น เป็นการกระทำที่ใช้อำนาจเกินไปไหม?
ทราย อธิบายว่า แอ็คชั่นทุกอย่างที่เขาทำ เขาไม่ได้ให้เกียรติเราเลย นี่ขนาดผมเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาไทยอย่างเดียวล่ะ มันจะเหลือเหรอครับ เขาคงไม่ฟังอะไรเลย ถ้าเกิดคุณไปต่างประเทศ คุณรู้สึกไหมว่าเขาเตือนอะไรคุณต้องฟัง เพราะที่นั่นเขาเข้มงวด เขารักษากฎ เขารู้วิธีการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม
แต่ทำไมถ้าเกิดเรามาไทยเรารู้สึกผ่อนคลาย ทำอะไรก็ได้ ทำผิดกฎก็จ่ายตังค์นิดหนึ่ง พูดว่านี่คือวิถีของเรา หรือพยายามเจอกันครึ่งทางดีกว่า อะไรแบบนั้น คือบางเรื่องมันเจอกันครึ่งทางไม่ได้ เพราะผลกระทบมันยิ่งใหญ่มากกว่าคนคนหนึ่ง หรือกระเป๋าตังค์ของคนคนหนึ่ง ตอนเขามาประเทศไทย เขาอาจจะรู้สึกว่าที่นี่สบายๆ ทำอะไรก็ได้ ผมเลยรู้สึกว่าเขากล้ามาทำที่นี่ ไม่กล้าไปทำที่อื่น วันนั้นผมตั้งใจทำให้เป็นตัวอย่างเลยครับ ผมไม่สามารถทำให้คนมาไม่เคารพ และทำนิสัยแบบนี้กับประเทศเราได้ครับ
“ผมไม่เคยล้ำเส้นอำนาจอะไรเลยทุกอย่าง มันเขียนขาวดำอยู่แล้ว ผมคิดว่าบรรพบุรุษพวกเราเขียนกฎพวกนี้อยู่แล้ว แต่แค่ไม่มีใครไปใช้ ทุกคนทำตามสิ่งที่ผมทำได้ แต่คุณแค่เลือกที่จะไม่ใช้กฎที่มันมีอยู่แล้ว เราไม่ต้องเปลี่ยนระบบอะไรเลย ระบบมันดีอยู่แล้วคุณแค่ไม่ใช้มัน”
ทราย ยังกล่าวอีกว่า ทุกครั้งที่ทรายบินจากกรุงเทพลงไปกระบี่เพื่อทำงาน ทรายมีการแจ้งล่วงหน้าตลอดในแชท ว่าจะขอเข้าพื้นที่ ขอสนับสนุนเรื่องยานพาหนะในการเดินทางก็คือเรือ ทุกครั้งที่ไปทำงานทรายไม่ได้รับเงินเดือน และไม่เคยร้องขอ แล้วที่ปรึกษาคนอื่นเขาก็มีการสนับสนุนอุปกรณ์ในการทำงาน แล้วผมจะร้องขอแค่นี้ไม่ได้เหรอครับ จริงอยู่ว่าผมว่ายน้ำเก่ง แต่จะให้ผมว่ายน้ำข้ามเกาะเหรอครับ ให้ผมว่ายน้ำแล้วไปปีนเรือเพื่อตักเตือนคนแบบนี้เหรอครับ มันไม่ใช่
ทำตัวเป็นคุณหนู ชี้วนิ้วสั่ง?
ทราย บอกว่า ผมไม่ได้โดนอบรมมาให้เป็นคุณหนูที่ชี้นิ้วสั่งครับ มันไม่ใช่วิธีของผม ผมโดนอบรมมาต้องให้เกียรติทุกคน ทำงานมันต้องราบรื่น การทำแบบนั้นมันไม่ใช่นิสัยผม ถ้าเกิดเขาเชื่อแบบนั้นจริงเขาก็ควรมีหลักฐานเอามาให้ผมดูด้วยครับ จริงๆ ทีมงานต่างชาตินี้เป็นเครือข่ายจิตอาสาของกรมอุทยานเอง ที่เขาจัดอบรมเมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่ทีมงานส่วนตัว
“เอาจริงๆ ถ้าผมจะทำคอนเทนท์ ผมไปถ่ายแบบก็ได้ครับ ผมจะต้องไปตักเตือนตากแดด แล้วก็ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรเพื่อทำให้คนรักษาทรัพยากรให้มันยั่งยืนทำไมครับ มันยากเกินไปไหมครับ”
มีประเด็นร้องเรียน ว่าการทำงานของทรายเหมือนดูถูกเหยียดหยามคนอื่น?
ทราย พูดถึงเรื่องนี้ว่า ผมไม่เคยดูถูกใคร แต่ถ้าเขารู้สึกว่าเขาโดนดูถูกมันก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่เขาคิดแล้วครับ ผมแค่ไปเตือนว่าคุณทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ถ้าคุณมองผมในภาพลักษณ์แล้วรู้สึกว่า การที่ผมเตือนให้คุณทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นการเหยียดคุณ คุณน่าจะมีปมแล้วครับ แล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับผม
อาหารการกิน ต้องดื่มน้ำแร่เท่านั้น ไม่กินอาหารทะเล?
ทราย บอกว่า เรื่องดื่มน้ำทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่าผมก็ต้องดื่มน้ำ ส่วนน้ำที่ผมกินก็เอามาจากที่สำนักอุทยาน ที่สำนักอุทยานเขาจะมีลังน้ำมาส่งทุกวันอยู่แล้ว ผมก็จะจิ๊กมาหนึ่งขวดอ่ะครับ ถ้าผมจะต้องกินน้ำแร่ที่มาจากต่างประเทศ ผมก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนในการนำเข้า แล้วผมเป็นนักอนุรักษ์ผมจะทำแบบนั้นทำไม หรือผมเป็นนักอนุรักษ์ทะเลจะให้ไปกินน้ำทะเล มันก็ไม่ใช่ไหมครับ
รู้สึกยังไงที่มีรายงานร้องเรียนอธิบดีฯ ในประเด็นเหล่านี้?
ทราย บอกว่า ผมรู้สึกตามจริงนะครับ มันไม่คุ้มกับเวลาผู้ชมแล้วก็สังคมไทยที่จะต้องมาอ่านอะไรที่มันสกปรกแบบนี้ครับ มันไม่สมกับการทำงานของภาคอุทยานที่มันมีประสิทธิภาพเลย เราสมควรที่จะทำอะไรที่มันดีกว่านี้ และผมไม่ชอบที่ตอนนี้มันกลายเป็นว่าเหมือนผมกับอุทยานฯ ทะเลาะกัน มันไม่ใช่ภาพส่งเสริมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ที่มันดีสำหรับคนรุ่นต่อไปเลย คือเขาควรเห็นเสมือนว่าอุทยานฯ เป็นพ่อคนหนึ่ง ที่ดูแลทรัพยากร และเปิดทางให้นักอนุรักษ์คนอื่นๆ ไปร่วมงานด้วย ไม่ใช่มาทำข่าวงอนๆ แบบนี้ และทรัพยากรธรรมชาติของพวกนี้มีค่าหมดครับ คุณไม่สามารถใช้ทิ้งขว้างหรือไปขายให้กับชาวต่างชาติแบบนี้ได้
ประเด็นที่ถูกบริษัทนำเที่ยวฟ้องหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพ์ กรณีโพสต์คลิปให้อาหารเต่า
ทราย กล่าวว่า คลิปให้อาหารเต่าที่ลงนั้นอยู่ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งมักมีปัญหาเหล่านี้ บริษัททัวร์และไกด์หลายคนป้อนอาหารให้เต่าและไปจับเต่ามาให้นักท่องเที่ยว ซึ่งทุกครั้งที่ผมเห็นมันแย่มากๆ แล้วมันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ทำบริษัทแถวนั้น คือมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะให้อุทยานเห็นหรอกครับ แต่คือเขาทำกัน แต่พอดีผมมีเพื่อนนักอนุรักษ์ทั่วประเทศเขาก็ส่งเรื่องพวกนี้มาให้ผม แล้วเผอิญในคลิปนี้ของอินฟูลเอนเซอร์ชาวจีนคนนี้ เขาทำการท่องเที่ยวที่สิมิลัน แล้วในคลิปนี้มีหลายบริษัทอยู่ในนั้น ไม่ใช่แค่บริษัทที่เขาฟ้องผม แต่เจตนาของผมในการโพสต์คลิปนี้ให้คนเห็นในสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันไม่เกี่ยวกับบริษัทเลย อยากให้เอาอีโก้ของบริษัทออกจากเรื่องนี้ก่อน
ทราย สก๊อต ยังบอกอีกว่า หลังจากที่บริษัทเขาทักมาหาผม ผมก็ลบชื่อออกให้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักมันคือสิ่งที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้นอยู่หน้างาน ซึ่งก็คือเรื่องพวกนี้ มันสามารถโดนปรับหรือโดนถอดใบอนุญาตได้ง่ายมาก คุณไปผิดธรรมชาติเขา ถ้าเกิดเต่าได้รับอาหารจากมนุษย์บ่อยๆ มันจะวิ่งเข้าหาเรือ ซึ่งทำให้ใบพัดเรือสามารถฆ่าเขาได้ มันเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมเขาที่ไม่ดี และการทำแบบนี้ก็เพื่อให้ได้ทิปสำหรับไกด์ที่มันมากขึ้นในวันนั้น เจตนาผมไม่ได้แฉบริษัทนี้ เจตนาคือเรื่องการให้อาหารเต่า ผมคิดว่าส่วนใหญ่คนช็อกแค่เรื่องเต่า และเป็นเรื่องที่ผมโฟกัสด้วย
“ถ้าผมทำให้พี่ๆ ไม่สบายใจ ผมก็ต้องขอโทษด้วยครับ แต่เจตนาของผมและเจตนาที่ผมคิดว่าทุกคนต้องโฟกัส ก็คือเรื่องของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในคลิป การให้อาหารเต่า ซึ่งมันเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่และมันเกิดขึ้นทุกอุทยานที่มีเต่า”
ทราย สก๊อต กล่าว