‘สภาลวงละคร’ ฉายาสภา 66 ไร้คนดี-ดาวเด่น มีแต่ดาวดับ

แรงอยู่นะ! ‘สภาลวงละคร’ ฉายาสภา 66 ไร้คนดี-ดาวเด่น ไม่มีคู่กัด มีแต่ดาวดับ ‘พิธา’ คว้าไปครอง ‘พรเพชร’ ได้แจ๋วหลบ จบแล้ว

การฉายาให้กับรัฐสภา เป็นประเพณีที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาทำทุกปี ทั้งในส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เพื่อสะท้อนถึงความเห็นของผู้สื่อข่าวที่ติดตามงานของพวกเขาอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง เป็นกำลังใจกับสมาชิกที่ทำหน้าที่ได้ดี และขอให้พวกเขาทุ่มเทมากขึ้น อีกทั้งทบทวนข้อบกพร่อง และปรับปรุงตนเองเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนต่อไป

สภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายาว่า “สภาลวงละคร”
สภานี้เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจ และการเจรจาจับมือหลายฝ่าย พรรคเพื่อไทยเริ่มต้นด้วยการเป็นฝ่ายรอง แต่สุดท้ายก็ใช้กลยุทธ์หลายอย่างเพื่อกลับมาเป็นฝ่ายนำในการจัดตั้งรัฐบาล มีการแข่งขันและเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงตั้งแต่การเลือกนายกรัฐมนตรีจนถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้กระทั่งมีการทรยศต่อพรรคเดียวกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่เคยร่วมมือกันก่อนหน้านี้ ทำให้เหมือนกับโรงละครขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงและการแสดง

วุฒิสภา ได้รับฉายาว่า “แตก ป. รอ Retire”
ฉายาของวุฒิสภาในปี 2566 นี้ต่อจากฉายาของปี 2565 ที่เรียกว่า “ตรา ป.” ซึ่งหมายถึงการที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทำหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ของ “ป. ประยุทธ์” นายกรัฐมนตรีอดีต และ “ป. ประวิตร” รองนายกรัฐมนตรีอดีต โดยไม่มีการแตกแยก

แต่ในปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อทั้งสอง “ป.” แยกทางกัน โดยในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีล่าสุด สว.ฝ่าย “ป.ประยุทธ์” ได้ลงมติสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งต่างจาก “ป.ประวิตร” ที่งดออกเสียง และด้วยความที่สว.กำลังจะสิ้นสุดวาระในเดือนพฤษภาคม 2567 ฉายานี้จึงสื่อถึงการรอเวลาเกษียณหรือหมดวาระของพวกเขา

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายาว่า “(วัน) นอ-มินี”
เนื่องจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นที่แย่งชิงระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ในที่สุดทั้งสองพรรคก็ตกลงที่จะใช้โควตาคนนอก ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยจึงเสนอชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติในขณะนั้น เป็นประธานสภา ซึ่งพรรคก้าวไกลยอมรับในการเลือกตั้งนี้

ดังนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ จึงเป็นเสมือนผู้เสนอชื่อหรือ “นอมินี” ในการแย่งชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ครั้งนี้ แม้ว่าจำนวนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอสำหรับการคว้าตำแหน่งนี้ แต่เขาก็ถือเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งยังมีประวัติเป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทยมาก่อนด้วย จึงทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการแข่งขันครั้งนี้

นายพรเพชร วิชิตชลชัย “ประธานวุฒิสภา” ได้รับฉายาว่า “แจ๋วหลบ จบแล้ว”
คำว่า “แจ๋ว” ในที่นี้เปรียบเสมือนบทบาทของผู้รับใช้ ซึ่งนายพรเพชร ถูกวิพากษ์วิจารณ์มานานกว่า 10 ปีว่าเป็นผู้รับใช้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน นายพรเพชรในฐานะประธานวุฒิสภาพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและไม่แสดงความเห็นที่เสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้ง รวมถึงงดการปรากฏตัวในสื่อ เพื่อรอเวลาวุฒิสภาหมดวาระ 6 ปีในเดือนพฤษภาคม 2567

นายชัยธวัช ตุลาธน “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร”
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาเห็นว่า ควรงดการตั้งฉายาเนื่องจากนายชัยธวัชเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ และยังไม่ได้เริ่มทำหน้าที่ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

ดาวเด่น ’66
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภามีความเห็นว่า “ไม่มีผู้ใดเหมาะสม” และไม่มีใครโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับฉายานี้

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล

ดาวดับ ’66
ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเขาโดดเด่นในช่วงหาเสียงเลือกตั้งจนกระทั่งได้รับผลเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้จำนวน สส.มากที่สุด เขาได้เดินทางไปขอบคุณประชาชนและพบกับหน่วยงานต่างๆ จนได้รับฉายา “นายกพิธา” ทำให้เกิดกระแส “พิธา ฟีเวอร์” อย่างไรก็ตาม สุดท้ายนายพิธาไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จากคดีหุ้นไอทีวีที่ยังคงมีการติดตาม ด้วยเหตุนี้ ฉายา “ดาวดับ ’66” จึงเปรียบได้กับดาวที่เคยส่องแสงแต่ตอนนี้ได้ดับสูญไปแล้ว

วาทะแห่งปี 2566
วาทะที่โดดเด่นในปีนี้เป็นของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเป็นหนึ่งในแกนนำการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ในการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 22 ส.ค.66 เพื่อพิจารณาแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี นพ.ชลน่าน ได้กล่าวว่า

“เราเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราเป็นพรรคอันดับสองมีความยินดีร่วมมือจัดตั้งรัฐบาล และถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคเพื่อไทยไม่มีทางจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เราเป็นพรรคอันดับสองสามารถที่จะแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ ถ้ากลไกการเมือง และรัฐธรรมนูญมันปกติ แต่ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญแบบนี้เราไม่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่เราก็คิดผิดเพราะว่ายิ่งเราจับมือกันยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

“เหตุการณ์แห่งปี 2566” คือ “การเลือกนายกรัฐมนตรี”
เหตุการณ์สำคัญประจำปีคือการเลือกนายกรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ก.ค.66 โดยนายพิธาได้รับการเสนอชื่อแต่ไม่ผ่านเกณฑ์ความเห็นชอบที่ 376 เสียง จึงมีการโหวตรอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.66 แต่เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับกฎข้อบังคับการประชุมว่านายพิธาสามารถถูกเสนอชื่อซ้ำได้หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เปิดลงมติตามข้อบังคับที่ 151 และผลปรากฏว่าเสียงกึ่งหนึ่งไม่เห็นด้วยที่จะเสนอชื่อนายพิธาซ้ำได้

ต่อมาในช่วงเช้าของวันที่ 21 ส.ค.66 นายชัยธวัช ตุลาธน ได้ประกาศส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น นพ.ชลน่าน ในนามของพรรคเพื่อไทย ได้แถลงข่าวจับมือกับ 11 พรรคการเมืองเพื่อตั้งรัฐบาลเพื่อไทยด้วยเสียงสนับสนุน 314 เสียง สถานการณ์นี้นำไปสู่การประชุมรัฐสภาในวันที่ 22 ส.ค.66 เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 3 โดยมีการเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และในที่สุดก็ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วยเสียง 482 เสียง เทียบกับเสียงไม่เห็นชอบ 165 เสียง และงดออกเสียง 81 เสียง ทำให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ

คู่กัดแห่งปี 2566
ในปีนี้ ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาได้มีความเห็นร่วมกันที่จะงดการตั้งฉายาคู่กัดแห่งปี เนื่องจากการเปิดสมัยประชุมในรัฐสภามีเพียงสมัยเดียวและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวยังตรงกับช่วงปิดสมัยประชุม ทำให้ไม่มีการปะทะคำพูดหรือการแสดงความเห็นที่ชัดเจนระหว่างสมาชิกใดๆ จนถึงขั้นกลายเป็นคู่กัดที่น่าสนใจ มีเพียงการแลกเปลี่ยนคำพูดในบางเหตุการณ์เท่านั้น

คนดีศรีสภา 2566
สื่อมวลชนที่ประจำรัฐสภามีมติร่วมกันว่า ยังไม่มี สส. หรือ สว. คนใดที่เหมาะสมที่จะได้รับการยกย่องเป็น “คนดีศรีสภา” ในปีนี้ ซึ่งเป็นการต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้วที่ไม่มีบุคคลที่โดดเด่นในด้านดีเพียงพอที่จะได้รับการยกย่องในฐานะนี้ การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ในรัฐสภาที่อาจขาดแคลนบุคคลที่มีผลงานหรือความเป็นผู้นำที่โดดเด่นและเป็นแบบอย่างที่ดี