
ตีลังกาเล่าข่าว โดย กรรณะ
ถ้ามีใครทำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยในสองวันนี้เป็นภาพยนตร์ ก็ต้องเป็นเรื่องที่สุดตื่นเต้น พล็อตเรื่องพลิกไปพลิกมาชนิดซีรีส์เกาหลียังต้องหลบ หนังอินเดียยังต้องชิดซ้าย
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อวันพุธเช้า ที่ทุกอย่างชัดเจนว่า “ภูมิใจไทย” จะต้องไปเป็นฝ่ายค้านหลังไม่รับข้อเสนอขอคืนกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้มีไว้ให้เลือก แต่มีไว้ให้ทำ ที่สุด “ภูมิใจไทย” ก็ยอมเป็นฝ่ายค้าน รอคอยวันเอาคืนไม่ว่าจะสมัยนี้หรือสมัยหน้า
แต่ใครจะเชื่อว่าอยู่ๆ กลางวันเกมก็พลิกชนิดหน้าเป็นหลังอะไรก็ตามแต่จะนึก หรือเอาเข้าจริงเกินกว่าจินตนาการด้วยซ้ำไป เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยไหนของการเมืองไทย หรือกระทั่งการเมืองโลก
เมื่อ “สมเด็จฮุน เซน” ทิ้งไพ่เด็ดปล่อยคลิปเสียงที่นายกฯไทยหลุดปากว่า “แม่ทัพภาคที่ 2” คือฝั่งตรงข้าม และทุกคนก็ยืนยันว่าเป็นของจริง เพียงแต่ชุดคำอธิบายของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป

นาทีนั้นสถานการณ์ของ “นายกฯอุ๊งอิ๊ง” เรียกว่าเปราะบางแบบถึงที่สุด เสียงเรียกร้องให้ลาออก หรือยุบสภาดังกระหึ่ม แน่นอนเสียงเรียกร้องให้ทหารขยับก็มีไม่น้อย แต่กรณีหลังดูจะถูกต่อต้านมากกว่าสองกรณีแรก
หากไม่ว่าทางไหนก็ชี้ไปในเส้นทางที่บอกว่า “รัฐบาลแพทองธาร” จบแล้ว
“ภูมิใจไทย” รีบฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์จาก “คนที่ถูกทิ้ง” ใส่เสื้อพระเอกแถลงถอนตัวจากรัฐบาลแบบหล่อๆ แถมให้รัฐมนตรีลาออก
ส่วนพรรคร่วมอื่น ๆ แม้ยังไม่มีมติชัดแต่ท่าทีก็บอกได้เลยว่าไม่เอาด้วยแล้ว และรอเพียงมติอย่างเป็นทางการจากที่ประชุมพรรคช่วงค่ำของวันที่ 19 มิ.ย.

คืนวันที่ 18 ต้องบอกว่าเป็นคืนที่หนักที่สุดในชีวิตการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “แพทองธาร ชินวัตร” ว่ากันถึงขนาดที่หากก้าวพลาด เธออาจจะต้องเป็นคนที่สามในตระกูลที่ระเห็จออกจากประเทศไทย
ไม่มีใครรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เชื่อได้ว่าวอร์รูม ทั้งหลังบ้านหน้าบ้านและในบ้านต้องทำงานกันอย่างหนักและละเอียดทุกเม็ด และที่สำคัญคือมีเงื่อนเวลาช้าเกินกว่าวันที่ 19 มิถุนายนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเกมก็จบ
และตั้งแต่เช้าชุดการแก้ไขสถานการณ์ก็ถูกส่งออกมาแบบรัวๆ เริ่มที่มีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อโดยเฉพาะเหล่าทัพ ซึ่งแม้ ผบ.เหล่าทัพอื่นจะบอกว่าติดภาระกิจไปต่างประเทศ แต่ก็มีเสนาธิการทหารมาเป็นตัวแทน และนำทีมโดย พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จากกระทรวงการต่างประเทศแถลงประณามและเรียนทูตกัมพูชา
ตามด้วยนายกฯแถลงขออภัย โดยมีแบ็กกราวด์เป็นผู้ร่วมประชุมซึ่งรวมถึงทหาร และหลังจากนั้น “พล.อ.ทรงวิทย์” ก็ให้สัมภาษณ์ว่า กองทัพยืนยันปฏิบัติหน้าที่ ทุกเรื่องขอให้รัฐบาลเป็นผู้พูด เหมือนเป็นการยืนยันว่าทหารไม่มีอะไร
จากนั้นเพื่อไทยก็แถลงโจมตีกัมพูชาว่าผิดมารยาทการทูต จบชุดการแก้ไขสถานการณ์แบบเปิดหน้า
จากนั้นนายกฯก็พา ครม. เข้าไป เยี่ยมชมและศึกษาดูงานหลักสูตรการฝึกปฏิบัติและดูงานเศรษฐกิจพอเพียงของศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 เรียกว่าไปทั้งคณะยกเว้นภูมิใจไทย
และหลังจากออกมาก็มีข่าวว่าวันพรุ่งนี้ นายกฯ จะไปเยี่ยมฐานมรกต เพื่อให้กำลังใจทหารแนวหน้าที่ช่องบก และจะได้เจอกับแม่ทัพภาคสอง พูดตรงๆก็คือเตรียมเคลียร์ใจให้เห็นนั่นเอง มูฟเมนต์นี้ตอกย้ำความสัมพันธ์กับทหารได้เป็นอย่างดี
ว่ากันว่าเหตุผลหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ ต้องไม่ทำอะไรให้เข้าทาง “สมเด็จฮุน เซน” เพราะนาทีนี้ต้องสามัคคีกันไม่งั้นเสร็จเกมของเสือเฒ่าที่เล่นไม่เลือกวิธีแน่ๆ
ที่เหลือก็แค่การเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล เอาเข้าจริงที่เจรจาไม่ได้ก็ดูเหมือนจะมีแค่ “ภูมิใจไทย” เท่านั้น แต่ก็ไม่แปลกเพราะ “ทางเพื่อน” ของทั้งสองพรรคมันจบลงไปเรียบร้อยก่อนจะเกิดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

และยิ่งการไม่มี “ภูมิใจไทย” ยิ่งทำให้การเจรจาง่ายขึ้น เพราะตัวเลข สส. ที่ลดลง แถมด้วย เก้าอี้รัฐมนตรีที่ยึดคืนมาจาก “ภูมิใจไทย” อีก 8 เก้าอี้ จากเดิมที่มี สส. 332 คน กับอีก 34 เก้าอี้รัฐมนตรี ไม่รวมนายกฯ แต่คราวนี้จะเหลือ 261 คน กับ 34 เก้าอี้ สัดส่วนลดลงไปแบบฮวบฮาบ ทำให้มีของขวัญไปแบ่งให้คนที่ยอมอยู่ต่ออีกมากโข
วันนี้หลังการประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเราจึงเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไป เอาง่ายๆ คือ ทุกคนอยู่ต่อ ไม่ว่าจะเป็นชาติไทยพัฒนา กล้าธรรม ประชาธิปัตย์ ประชาชาติ
มีเพียง “รวมไทยสร้างชาติ” เท่านั้นที่ยังแทงกั๊ก โดย “หัวหน้าพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค” บอกเพียงว่าที่ประชุมให้ไปแจ้งนายกฯ
แหล่งข่าวบอกว่า การบอกเช่นนี้ก็คือการให้ไปต่อรอง โดยไม้แรกก็คือไปบอกว่ารับได้ที่จะอยู่ต่อแม้เพื่อไทยจะยังเป็นนายกฯ ขอแค่เปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาล เป็น “ชัยเกษม นิติสิริ” แต่หาก “นายกฯอุ๊งอิ๊ง” ไม่ยอมออก พรรคก็จะมาหารือกันใหม่
แปลความก็คือ อาจจะยอมก็ได้ และแปลความอีกชั้นก็คือ ให้ไปต่อรองเก้าอี้มา
และที่ลืมไม่ได้คือ สส. กลุ่มของ “สุชาติ ชมกลิ่น” ไม่ได้ร่วมในการประชุมพรรควันนี้ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ากลุ่มนี้เจรจาง่ายกว่ากลุ่ม “พีระพันธ์” เยอะ
อีกปัจจัยที่ทำให้แต่ละพรรคยอมได้ไม่ยากคือ หากนายกฯ อยู่ไม่ได้ก็อาจยุบสภา และนั่นก็คือเข้าโหมดเลือกตั้ง และยังไม่มีใครพร้อมเลยสักคน ว่ากันถึงขนาดที่ว่าหากเลือกตั้งวันนี้เสร็จพรรคประชาชนหมดแน่ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปต่อ
เรียกได้ว่าหลังจากผ่านสองวันอันหฤโหด “เพื่อไทย” ก็แทบจะปิดเกมได้ อันเป็นผลมาจากการทำงานแบบละเอียดในทุกขั้นตอนจนประสานทุกฝ่าย และผ่านพ้นเกมนี้ ส่วนปัญหาชายแดนที่เหลือก็เดินหน้าชนแบบไม่ต้องเกรงใจ “อังเคิล” กันอีกแล้ว
และสุดท้ายเกมทุกอย่างก็เหมือนย้อนกลับมารีเซ็ตที่เช้าวันพุธ มีเพียง “ภูมิใจไทย” ที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง
แต่หลังจากนี้ต่างหากที่ไม่ใช่งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นม็อบที่จ่อรอขึ้น และผู้ที่เดินทางไปร้องนายกฯ เรียบร้อยแล้ว ทุกเส้นทางจากนี้จึงเต็มไปด้วยหลุมบ่อ การได้อยู่ต่อจึงไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้ตลอด