29 ต.ค. วันฉลองเทมเป้ (Tempeh) “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม”

29 ต.ค. เป็น วันฉลองเทมเป้ (Tempeh) ใครที่ยังไม่รู้จัก ยังไม่เคยกิน ต้องเริ่มทำความรู้จักอาหารที่ถูกยกย่องเป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” นี้กันแล้ว พร้อมแจกสูตรการทำแบบง่ายๆด้วยตัวเอง

วันนี้เมื่อเปิดเข้ากูเกิล จะเจอGoogle Doodles ที่มีหน้าตาน่ารักสดใส  เราจะได้พบกับ เทมเป้ สุดยอดอาหารสายสุขภาพ ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านจากอินโดนีเซียชนิดนี้ได้รับการยกย่องเป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” จากยูเนสโกเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2564 วันนี้จึงถือว่าเป็นวันฉลองให้กับอาหารชนิดนี้ 

เมื่อพูดถึงเทมเป้ ถือเป็นอาหารยอดฮิตติดเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับสายคลีน วีแกน – มัง – เจ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเพราะถือเป็นอาหารที่ทรงพลังชนิดนึงที่อุดมไปด้วยแหล่งโปรตีนชั้นดี ที่สามารถกินทดแทนเนื้อสัตว์ได้ ลดการได้รับไขมันส่วนเกิน แต่รู้หรือไม่ว่า ผลิตมาจากอะไร และยังมีคุณประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือไม่ ที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพ

เทมเป้  (Tempeh)  คืออะไร ?

เทมเป้ คือ ถั่วเหลืองหมัก มีต้นกำเนิดมาจากชาวอินโดนีเซีย เริ่มตั้งแต่ 200 ปีก่อน แต่เดิมเรียกกันว่า เตมเป เกิดจากการหมักบ่มถั่วทั้งเมล็ดด้วยเชื้อรา Rhizopus oligosporus (โรไซปัส โอลิโกสปอรัส) ซึ่งเป็นเชื้อราที่มีประโยชน์ ทำให้เกิดเส้นใยสีขาวช่วยยืดถั่วเหลืองให้ติดกันแน่นจนเป็นก้อน สามารถนำไปทอด ผัด ทานเปล่า ๆ ก็ได้ หรือจะนำไปประกอบอาหารต่าง ๆ ใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ก็ดี

โดยชาวอินโดนีเซียนิยมทานเทมเป้ เพราะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีโปรตีนสูง สามารถกินทดแทนเนื้อสัตว์ได้ จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลาม ที่ต้องการกินทดแทนเนื้อหมูหรือเนื้อวัว เมื่อรับประทานเข้าไป ร่างกายจะได้รับโปรตีนอย่างเต็มที่ด้วย เนื่องจากโปรตีนที่เกิดขึ้นในเทมเป้จะถูกย่อยเป็นโปรตีนที่มีขนาดเล็กลง จนเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโน ซึ่งเป็นโปรตีนหน่วยเล็กที่สุด จึงทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ แม้แต่คนที่แพ้ถั่วเหลืองผ่านระบบภูมิคุ้มกันก็มีแนวโน้มทานได้ ถึงแม้จะดื่มนมถั่วเหลืองไม่ได้ก็ตาม

สำหรับเทมเป้นั้น เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยเมื่อ 2-3 ปีก่อน ด้วยคุณค่าที่มีมากเหลือ จึงทำให้เป็นอาหารและวัตถุดิบที่เป็นที่ชื่นชอบของคนรักสุขภาพและคนรับประทานมังสวิรัติ อีทั้งยังสามารถทำอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะนำทั้งก้อน มาทอด หรือจะนำมาประกอบอาหารเป็น ผัดกะเพรา ลาบ คั่วกลิ้ง ก็ดีงาม

การทำเทมเป้ด้วยตัวเองที่บ้านง่ายๆ 

ทำได้ไม่ยากเลย ใช้วัตถุดิบเพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น คือ ถั่วเหลืองดิบ น้ำส้มสายชู หัวเชื้อเทมเป้ ระยะเวลาการทำอยู่ที่ 2-3 วันเท่านั้น ก็เป็นอันเสร็จ สามารถรับประทานแทนเนื้อสัตว์ได้ ใครเป็นสายเฮลท์ตี้หรืออยากได้ Plant-based ทานแทนเนื้อสัตว์ ห้ามพลาด ไปทำตามวิธีด้านล่างนี้ได้เลย

วัตถุดิบ

  • ถั่วเหลืองดิบ 500 กรัม

  • น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ

  • หัวเชื้อเทมเป้ 1 ช้อนชา

วิธีทำ

  1. เตรียมชามหรือกะละมังสำหรับใส่น้ำ ใส่ถั่วเหลืองดิบ 500 กรัมลงไป แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด

  2. แช่ถั่วในน้ำดื่มสะอาด 12 ชั่วโมง โดยให้ใส่น้ำ ให้ท่วมความสูงเกินถั่วไปอีกหนึ่งเท่า เพราะในช่วงเวลาที่แช่ ถั่วจะพองตัวขึ้นอีก แช่ทิ้งไว้จนกว่าจะมีฟองขึ้นและเกิดกลิ่นเปรี้ยว

  3. เทน้ำแช่ถั่วทิ้ง ล้างถั่วเหลืองด้วยน้ำสะอาด ใช้ฝ่ามือถูกับถั่วเหลือง เพื่อเอาเปลือกออกจนหมด ถ้ามีเศษเปลือกถั่วลอยขึ้นมา ให้ใช้กระชอนตักออก

4. เสร็จแล้ว นำถั่วเหลืองไปต้ม ควรใช้น้ำดื่มเหมือนเดิม ตั้งไฟ ให้น้ำเดือดก่อนแล้วค่อยนำถั่วเหลืองลงไป ต้มด้วยไฟกลางค่อนแรง 30-40 นาที เมื่อครบเวลา ให้กรองเอาน้ำออก แล้วสะเด็ดน้ำถั่วให้พอแห้งหมาด ๆ

5. ใช้ไม้พายคนถั่วเหลืองให้คายความร้อน จนมีอุณหภูมิอยู่ที่ 35 องศาเซลเซียส

6. ใส่น้ำส้มสายชูหมัก 3 ช้อนโต๊ะ คนให้ทั่ว จากนั้น ใส่หัวเชื้อเทมเป้ 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน

7.เตรียมถุงพลาสติกมีซิปล็อก ตักถั่วเหลืองใส่ลงไปในจำนวนที่ต้องการ ค่อย ๆ ตบให้ถั่วเหลืองรวมตัวกันเป็นก้อนสี่เหลี่ยม แล้วปิดปากถุงด้วยซิปล็อก เสร็จแล้ว ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นเจาะรูเล็กแบบถี่ ๆ ให้ทั่วทั้ง 2 ด้าน 8. วางบนตะแกรงหรือถาดในที่อากาศถ่ายเทได้ ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง ประมาณ​ 28 -32 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 วัน ไม่เกิน 3 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในเวลานั้น ระยะนี้เป็นระยะที่มีกลิ่นหอมและทานง่ายสุด ใน 12 ชั่วโมงแรกอาจจะยังไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่หลังจากนั้นถั่วจะค่อยๆ ร้อนขึ้น เป็นไอและเริ่มจับตัวเป็นก้อนมีใยขาวๆ ขึ้นปกคลุม

8. เมื่อครบเวลา ถั่วเหลืองจะกลายเป็นก้อนเทมเป้ มีใยขาวๆ ขึ้นปกคลุม สามารถนำมาทานหรือเก็บเข้าตู้เย็นทั้งที่ยังอุ่นได้เลย โดยช่องธรรมดาควรทานภายใน 1 อาทิตย์ หากเก็บในช่องฟรีซ จะเก็บได้ประมาณ​ 1 เดือน

หากใครกำลังมองหาอาหารหรือวัตถุดิบทดแทนเนื้อสัตว์ ที่ให้โปรตีนสูง “เทมเป้” ถือเป็นทางเลือกที่ดีเลยเพราะทำง่ายมาก ๆ เหมาะกับคนรักสุขภาพ ซึ่งถ้าเกิดใครอยากทำขาย รับรองว่าทำขายก็อร่อย ทานแล้วสุขภาพดี เป็นช่องทางที่สามารถสร้างรายได้ที่ดีเลยเพราะใช้ต้นทุนไม่สูง แต่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้มาก