
(วันนี้ 12 ก.ค.68) ตลาดสุกี้บุฟเฟต์เริ่มลุกเป็นไฟอีกครั้ง เมื่อ MK Group เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “BONUS SUKI” ภายใต้บริษัทลูก คุ้มคุ้ม จำกัด ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อต้นไตรมาส 2 ปีนี้ ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ชัดเจนว่ามุ่งลุยตลาดบุฟเฟต์ราคาคุ้มค่า ชนตรงกับยักษ์ใหญ่ในตลาดอย่าง สุกี้ตี๋น้อย และ ลัคกี้ สุกี้ โดยตรง
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา MK เคยทดลองปล่อยแคมเปญ “MK คุ้มคุ้ม อิ่มไม่อั้น 299 บาท” ซึ่งแม้จะกระตุ้นความสนใจได้ดี แต่กลับต้องเผชิญกระแสวิจารณ์จากลูกค้า ทั้งบริการล่าช้า เมนูไม่ครบ และการบริหารจัดการที่ยังไม่พร้อม ทำให้ MK ต้องรีบออกมาขอโทษและชี้แจงสถานการณ์อย่างเป็นทางการ

ครั้งนี้ MK เลือกวิธีใหม่ ด้วยการแตกแบรนด์ออกมาอย่างชัดเจนในชื่อ BONUS SUKI เพื่อทำตลาดแบบแยกไลน์อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ปรับตัว MK เดิมให้เป็นบุฟเฟต์ แต่เริ่มใหม่หมดจด ทั้งชื่อ แบรนด์ ราคา และสไตล์การให้บริการ
BONUS SUKI มีอะไร?
- บุฟเฟต์ราคาเริ่มต้น 219 บาท/คน
- เมื่อรวม รีฟิลเครื่องดื่ม 39 บาท และ ภาษี VAT 7% จะอยู่ที่ 279 บาทสุทธิ เท่ากับราคาเฉลี่ยของคู่แข่งในตลาด
- เปิดให้บริการตั้งแต่ 11.00 – 05.00 น. ตีตลาดคนหิวดึกแบบเต็มที่
- เสิร์ฟอาหารกว่า 60 เมนู ไม่ว่าจะเป็น
- หมูสันคอ
- เนื้อบริสเกตออสเตรเลีย
- กุ้งสด
- ลูกชิ้นหลากชนิด
- ติ่มซำ
- ของทานเล่น
- น้ำจิ้มสูตร MK
- เครื่องดื่มและสลัชชี
BONUS SUKI จะเปิดสาขาแรกที่ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สระบุรี ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 และมาพร้อมกับโปรแรง 1 แถม 1 ตั้งแต่วันที่ 16-20 ก.ค. จำกัดวันละ 100 สิทธิ์แรกเท่านั้น
หลายฝ่ายมองว่านี่คือการส่งแบรนด์ Fighting Brand ของ MK ลงสนามเต็มตัว เป็นการวางยุทธศาสตร์เพื่อสู้กับแบรนด์สุกี้บุฟเฟต์ที่แข็งแกร่งในตลาด ณ ตอนนี้ โดยไม่แตะ “แบรนด์แม่” ที่มีภาพลักษณ์ต่างกันออกไปอย่าง MK Restaurant ซึ่งเน้นความพรีเมียมและครอบครัว

นักวิเคราะห์ธุรกิจอาหารกล่าว “การแตกไลน์แบบนี้เป็นกลยุทธ์ที่คม เพราะ MK ไม่จำเป็นต้องลดเกรดแบรนด์เดิม แต่สามารถเข้าร่วมตลาดที่คนจับตามองได้ทันที”
ด้านผู้บริโภคในโลกออนไลน์ หลายคนแสดงความเห็นว่า การที่ MK แยกแบรนด์ใหม่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง หลายเสียงก็ต่างเตือนว่า ราคาดีแค่ไหนก็ยังต้องพึ่งคุณภาพ บริการ และบรรยากาศ
สงครามบุฟเฟต์เพิ่งเริ่มต้น “BONUS SUKI” ถือเป็นอีกหมัดหนึ่งที่ “MK GROUP” ปล่อยออกมาเพื่อชิงพื้นที่ในตลาดบุฟเฟต์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ใครจะรอด ใครจะพัง อาจต้องรอดูกันยาวๆ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ สงคราม 276 บาทนี้ ผู้บริโภคคือผู้ได้ประโยชน์เต็มๆ