ปิดด่าน-ภาษีทรัมป์ ทุบเชื่อมั่นธุรกิจอุตฯ ดิ่ง ฉุดค้าชายแดนร่วง

อ่วม! “สภาอุตสาหกรรมฯ” ชี้ปิดด่านกัมพูชา-ภาษีทรัมป์ ทุบความเชื่อมั่นธุรกิจอุตฯ ดิ่ง ฉุดยอดการค้าชายแดนร่วง ย้ำอีก 3 เดือนจากนี้ก็ไม่ฟื้น แนะ 3 ข้อเสนอ “รัฐบาล” รีบแก้ก่อนกระทบเศรษฐกิจทรุด

วันนี้ (16 ก.ค.68) นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย.68 อยู่ที่ระดับ 87.7 ปรับตัวลดลง จาก 88.1 ในเดือนพ.ค.68 ซึ่งเป็นผลจากการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา และการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซ LNG จากไทย

ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนและผ่านแดน ด้านสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษี Sectoral Tariff ในกลุ่มสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลกระทบทำให้ราคาพลังงานผันผวน การส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัว

อีกทั้งการทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศกดดันผู้ประกอบการการผลิตเพื่อส่งออกเริ่มถูกแทนที่ด้วยสินค้านำเข้า ราคาสินค้าเกษตรหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร และทำให้กำลังซื้อในภูมิภาคลดลง รวมถึงความขัดแย้งและความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนและเงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น จากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค และการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ เดือนมิ.ย. ยังคงมีปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดมาตรการชะลอการเก็บภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในเดือนก.ค.68 ขณะเดียวกัน สัญญาณการเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ยังมีทิศทางเชิงบวก และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการช่วงกลางปี ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,342 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนมิ.ย.68 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ การเข้าถึงสินเชื่อ 51.7% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 39.9% ราคาพลังงาน 31.3% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 24.7% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 61.0% เศรษฐกิจโลก 57.7% นโยบายภาครัฐ 47.5%

ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ ส.อ.ท. กล่าวว่า ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 90.8 ลดลงจาก 91.7 ในเดือนพ.ค.68 เนื่องจากความไม่แน่นอนจากปัญหาบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงการปิดด่านอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทย

ด้านคณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดในบางกิจการ มีผลวันที่ 1 ก.ค.68 กระทบต่อต้นทุนการจ้างงานของผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางการค้า

ม.ล.ปีกทอง กล่าวว่า ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 คาดว่าจะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้ 1. ขอให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านการค้าชายแดนไทย – กัมพูชา เช่น ช่วยรับซื้อสินค้าและกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่น จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ พักชำระหนี้ชั่วคราวสำหรับ SMEs ชดเชยค่าจ้างให้แรงงานกรณีปิดกิจการชั่วคราว อุดหนุนส่วนต่างราคาวัตถุดิบหากต้องนำเข้าจากแหล่งอื่น และสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางเรือหรือทางอากาศ เป็นต้น

2.ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ มูลค่า 1.15 แสนล้านบาท ให้ดำเนินการได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล ติดตาม ตรวจสอบโครงการอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส 3. ขอให้ภาครัฐเร่งเจรจาปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ให้ลดลงสู่ระดับที่สามารถแข่งขันได้ ก่อนจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค.68