เอกชน ชี้ “รัฐ” ใช้งบฯ 1.57 แสนล้าน ไม่พอปั๊มเศรษฐกิจฟื้น

“เอกชน” ชี้แผน “รัฐบาล” ใช้งบฯ 1.57 แสนล้าน ยังไม่พอปั๊ม “เศรษฐกิจฟื้น” ลั่นไม่อยากเห็นจีดีพีไทยเรี่ยดิน 1% แนะนโยบายการคลัง-การเงิน ทำงานร่วมกัน หวัง “การเมืองสงบ” ดึงเชื่อมั่นนักธุรกิจ หนุนลงทุนเพิ่ม

วันนี้ (18 มิ.ย.68) ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน, ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมคงต้องพูดถึงนโยบายที่จะมารองรับความเสี่ยงทั้งหมดนี้ มองว่านโยบายการคลังจากทิศทางที่รัฐบาลปรับการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท จากดิจิตอลวอลเล็ต มาเป็นโครงการที่รองรับผลกระทบจากสงครามการค้าแทน 

“การปรับมาใช้นโยบายนี้จะช่วยทำให้เม็ดเงินสามารถตอบโจทย์ความท้าทายที่มีความหลากหลาย เพราะโครงการที่ภาครัฐ ใช้จ่ายในโครงการน้ำ การท่องเที่ยว รวมถึงการสร้างทุนต่างๆ มองว่าเป็นประโยชน์กว่าการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี”ดร.ยรรยงกล่าว

อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินที่จะเข้าไปในระบบอาจต้องใช้เวลา และต้องติดตามประสิทธิภาพของโครงการ รวมถึงแผนการดำเนินการ 

ดร.ยรรยงกล่าวว่า ประเด็นของนโยบายการคลังโดยเฉพาะงบประมาณ  1.57 แสนล้านบาท คงยังไม่เพียงพอที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น เพราะคงไม่อยากเห็นเศรษฐกิจไทยโตอยู่ที่ 1% ต่อเนื่องหลายปี เพราะว่ามีประสบการณ์จากช่วงโควิด เมื่อปล่อยให้เศรษฐกิจตกลงไปเยอะ มันมีแผลเป็นเยอะ เมื่อจะทำให้ฟื้นขึ้นถึงจึงมีความยากลำบาก

ดังนั้น ความท้าทายก็คือเชื่อว่าภาครัฐบาลทราบว่าเม็ดเงินอาจจะต้องมีมากกว่านี้ แต่งบประมาณปี 2569 ถ้าหักจ่ายหนี้และเงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย เม็ดเงินลดลง 2.2% จากงบฯ ที่จะใช้จ่ายได้จริง แล้วถ้ารัฐบาลต้องการเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น จะมีปัญหาเรื่องเพดานหนี้ เพราะหนี้สาธารณะของประเทศจะแตะ 70% ในอีก 1-2 ปี จะเร็วกว่าที่ภาครัฐบาลได้ประมาณการไว้ 

“ตรงนี้ก็เป็นความท้าทายว่าความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่มีข้อจำกัดในเรื่องหนี้สาธารณะ เชื่อว่ายังทำได้ เพียงแต่ว่าถ้าจะกู้เพิ่มคงต้องมาพร้อมกับแผนการสื่อสารกับตลาดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพระยะปานกลางอย่างไร เช่น การเก็บภาษี การใช้จ่าย เพื่อทำให้ตลาดมีความมั่นใจเมื่อมีการกู้เพิ่มแล้วหนี้สาธารณะยังอยู่บนความยังยืน“ดร.ยรรยงกล่าว

ส่วนนโยบายการเงิน ประเมินว่าจะต้องมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในภาวะที่การขยายตัวต่ำลง เงินเฟ้อติดลบ และคุณภาพสินเชื่อยังมีปัญหาต่อเนื่อง มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ มาอยู่ที่ 1.25% และอีก 1 ครั้งในปี 2569 จะเห็นดอกเบี้ยอยู่ที่ 1% และมองว่ายังมีช่องว่างให้ลดดอกเบี้ยได้อีก

ทั้งนี้ นโยบายการเงินโดยปกติจะเห็นผลได้เร็วกว่าแต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะกิจคงต้องใช้เวลา 5-8 ไตรมาส ส่วนนโยบายการคลัง แม้รัฐบาลจะเร่งใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท แต่กว่าเม็ดเงินจะออกออกตัวระบบอาจจะให้เห็นในไตรมาส 4/2568 และรวมไปถึงไตรมาส 1-2/2569 เมื่อเป็นเงินออกไปแล้วจะถึงเศรษฐกิจโดยตรง 

“ตอนนี้คงยังไม่ใช่เรื่องของมาตรการใดมาตรการหนึ่ง แต่เป็นในภาพรวมที่ต้องทำร่วมกัน อีกทั้งปัญหาทางการเมืองไม่ว่าเป็นการปรับ ครม.หรืออื่นๆ เป็นผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ทำให้นักลงทุน นักธุรกิจ ภาคครัวเรือน จะทำให้การใช้จ่าย การลงทุนจะชะลอตัวนาน”ดร.ยรรยงกล่าว