สะท้อนเสียง “เอกชน” ทางเลือก “การเมือง” สู่ทางออก “เศรษฐกิจ”

สะท้อนเสียง “เอกชน” ทางเลือก “การเมือง” ที่ไม่ว่าจะเป็น “รัฐบาล” ไปต่อ-ยุบสภาฯ-ลาออก เป็นผลกระทบสู่ “เศรษฐกิจ” ที่เจอ “มรสุม” ซัดซ้ำซ้อนทั้งจากภาษีสหรัฐฯ-สินค้าจีนถล่ม-ท่องเที่ยวอ่อนแรง ล้วนแล้วแต่เป็นผลลบต่อ “คนไทย”

“ประเทศไทย” ขณะนี้เรียกว่า “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” ก็ว่าได้ ท่ามกลางสถานการณ์ “การเมือง” นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้รัฐบาล “พรรคเพื่อไทย” ที่ตอนนี้กำลังร้อนดั่งไฟ ภายหลังจากเกิดเหตุความขัดแย้งทางชายแดนกับ “กัมพูชา” จนถึงขั้น “สมเด็จฮุน เซน” ปล่อยคลิปเสียงของ “อุ๊งอิ๊ง” ที่บทสนทนาสุ่มเสี่ยงทำให้เก้าอี้นายกฯ หักกลางคัน ก่อนจบเทอม

เพราะนอกจากจะทำให้ “คนไทย” ที่ได้ฟังไม่พอใจหนักมาก รวมถึง “ฝ่ายค้าน” ยื่นข้อเสนอให้ “ยุบสภาฯ” หรือ “ลาออก” เพื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ภูมิใจไทย” ขอใช้เหตุผลนี้ทำเท่ยื่นซองขาวชิง “ลาออก” จากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และถอนตัวออกจากทุกตำแหน่งในกระทรวงต่างๆ ทันที และพร้อมก้าวมาเป็น “ฝ่ายค้าน” เต็มตัว ซึ่งเหตุนี้ก็ทำให้เสถียรภาพทางการเมืองของ “รัฐบาล” สั่นคลอน เพราะเสียงสนับสนุนเหลือปริ่มน้ำแค่ 257 เสียง ส่วนฝ่ายค้านเพิ่มเป็น 238 เสียง 

แม้ตอนนี้ “การเมือง” จะมองเห็นทิศทางไม่ชัดเจน เพราะนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ยังต้องเจอกับ “นักร้อง” ที่เดินหน้าแจ้งความเอาผิดจากการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ที่โดยแปะป้ายว่ามีความ “ซื่อสัตย์” หรือ “สุจริต” ต่อประเทศชาติ หรือไม่ ?

ซึ่งผลจะออกไปทิศทางไหนก็ไม่พ้นที่ “เศรษฐกิจไทย” ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากเดิมก็รับศึกหนักกับสงครามการค้าจาก “สหรัฐฯ” ขึ้นภาษีที่เก็บไทยถึง 36-37% ภาคผลิตอ่อนแรงจากที่โดน “จีน” ระบายสินค้าถล่มตลาดไทย ซึ่งมีผลต่อภาคการส่งออกไปด้วย สุดท้ายภาคการท่องเที่ยวเริ่มแบกไม่ไหว เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยลงทุกวัน จากหลายปัจจัยทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 ส่อแววโตได้ไม่เกิน 2%

จะเห็นได้ว่าปัญหาทาง “การเมือง” เชื่อมโยงกับ “เศรษฐกิจ” โดยตรง ตอนนี้ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่ทิศทางจะเป็นอย่างไรนั้น สะท้อนจากความเห็นของ “ภาคเอกชน”

ภาคเอกชนและผู้ประกอบธุรกิจ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยว่าภาคเอกชนมีความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยที่ไม่มีความชัดเจน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจมากกว่าปัจจัยภายนอกประเทศ ภาคเอกชนจึงเสนอทางออกทางการเมือง หากเป็นไปได้อยากให้สถานการณ์ทุกอย่างจบโดยเร็วที่สุด

หากรัฐบาลต้องเปลี่ยนแปลงมีมุมมอง 2 กรณี ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ดังนี้

1.กรณียุบสภาฯ อย่างน้อยต้องมีรัฐบาลรักษาการ คล้ายการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังดำเนินงานต่อไป เพื่อรอการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลรักษาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่องได้ 2-3 เดือน

2.กรณีนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ตามหลักการคือ ครม. ต้องออกด้วยทั้งคณะ ส่งผลให้การพิจารณาใช้งบประมาณล่าช่าออก รวมถึงการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งกรอบระยะเวลา 90 วัน และจะสิ้นสุดวันที่ 9 ก.ค.นี้ ถ้าเจรจาไม่ทันภาษีไทยที่ถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บสูงถึง 36-37% ประเด็นนี้เป็นปัญหาใหญ่ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก

“อะไรก็ตามในภาคการเมือง คงต้องรีบจบโดยเร็ว และให้ความชัดเจนว่าจะออกมาในรูปไหน ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมประเทศไทยเรา และสังคมของโลก การเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปเราไม่สามารถอยู่ในท่ามกลางบรรยากาศว่าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและไม่ชัดเจน”นายพจน์กล่าว

ขณะที่ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่าเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด คือ ให้สภาฯ ดำรงอยู่ตอไป จะทำให้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ถูกปล่อยออกมาไม่ล่าช้า และมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปลายปีนี้ และปี 2569 อย่างไรก็ตาม ควรทำให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพเร็วที่สุดจะดีต่อการเมืองและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

“หากมีการยุบสภาฯ จะมีปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ จากงบประมาณเกิดการใช้ล่าช้าอีก 6-9 เดือน แน่นอนว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาล มีผลต่องบประมาณ ถ้ารัฐบาลใหม่มีการเปลี่ยนขั้ว แต่รื้องบฯ ใหม่ หรือจะเดินหน้าต่อ ล้วนมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงจะโต 1-1.5%”นายธนวรรธน์ กล่าว

ภาคการเงิน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ตอนนี้มี 3 ทางเลือก คือ 1.รัฐบาลอยู่ต่อ 2.นายกรัฐมนตรีลาออก และมีการเสนอชื่อเลือกนายกใหม่ และ 3.ยุบสภาฯ หรือเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน ซึ่งมองว่าการยุบสภาฯ เป็นทางเลือกที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากที่สุด

เนื่องจาก 1.การยุบสภาฯ มีโอกาสทำให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้าออกไป 1 ไตรมาส และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน 2.ที่น่าเป็นห่วงการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งระยะเวลากำหนดให้ไม่เกินวันที่ 9 ก.ค.68 หากรัฐบาลถูกบังคับให้ยุบสภาฯ ทำให้การเจรจาต่อสหรัฐฯ สะดุดลงได้

3.ความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลต่อนโยบายและการลงทุน ทำให้นักลงทุนยังไม่ลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจได้แน่นอน ดังนั้น รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องยื้อประเด็นเหล่านี้ผ่านไปให้ได้

“ขณะนี้มองว่ารัฐบาลเลือกไปต่อไปก่อน เพราะแม้ไม่มีปัญหาทางการเมือง ครึ่งหลังปี 2568 ก็มองว่าเหนื่อยมากอยู่แล้ว จากปัญหาสงครามการค้า ภาคการผลิตไทยมีปัญหากระทบต่อการส่งออก นักท่องเที่ยวลดลง หากเจอปัญหาการเมืองอีก ทำให้ครึ่งหลังปีนี้มีสิทธิ์ได้เห็นจีดีพีติดลบติดกัน 2 ไตรมาส ถือว่าเศรษฐกิจไทยถดถอยทางเทคนิคแล้ว”ดร.พิพัฒน์กล่าว

ทั้งนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ ช่วงต้นเดือนก.ค.นี้ ที่จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ที่น่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ดังนั้น จะเห็นภาพที่ชัดเจนในช่วงปลายเดือนมิ.ย. หรือต้นเดือน ก.ค.นี้

กระนั้นแล้ว อย่าว่าแต่ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ยังต้องลุ้นว่าจะได้ไปต่อหรือไม่ “เศรษฐกิจไทย” ก็ต้องสวดภาวนาเช่นกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ได้แต่หวังว่าสุดท้าย “ทางออก” ที่เหมาะสมจะดีต่อทั้ง “ประเทศไทย” และ “คนไทย” จริงๆ…