กองทุน FTA อัดงบ ดัน เนื้อวัวพรีเมี่ยม สุรินทร์ วากิว – โกเบ ตีตลาดไทย ขยายไปตลาดโลก

กองทุน FTA อัดฉีดงบ 21 ล้านช่วยเหลือเกษตรกรสนับสนุนเต็มที่ให้ เนื้อวัวพรีเมี่ยม สุรินทร์ วากิว – วากิว ไปสู่ฝันเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

ตอนนี้ เนื้อวัวพรีเมี่ยม ในไทยนั้นมีความนิยมกันได้มาสักพักใหญ่แล้ว มีเนื้อนำเข้าจากนานาประเทศมาให้เลือกสรรกินกัน ที่ไทยเราเองก็มีเช่นเดียวกันค่ะอย่างเนื้อโคขุน ซึ่งตอนนี้เราได้นำพันธุ์วัวของต่างประเทศมาเลี้ยงกันเป็นฟาร์มเลยทีเดียว ที่จังหวัดสุรินทร์ที่มีวัวเนื้อพรีเมี่ยมอย่าง สุรินทร์วากิว และ สุรินทร์โกเบ เลี้ยงมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งน่าดีใจที่ประเทศไทยเรามีศักยภาพดี แน่นนอนว่าเราทำได้ดีกว่านี้เพื่อยกระดับมาตรฐานเทียบเท่ากับเนื้อวัวเมืองนอก เพื่อลดการนำเข้าเพิ่มโอกาสแข่งขันในตลาดโลกค่ะ

นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ หรือ กองทุน FTA ได้อนุมัติงบประมาณ จำนวน 21.88 ล้านบาท ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตและการตลาดโคเนื้อสุรินทร์ วากิว ครบวงจรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้เกษตรกรของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโคขุนสุรินทร์ โกเบ ครบวงจร ตำบลสลักได อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยมีกรมปศุสัตว์เป็นผู้กำกับดูแล มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2564 – 2573) โดยร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคขุนพันธุ์สุรินทร์วากิว ให้เป็นเนื้อโคที่ดีมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

โดยการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว เพื่อลดผลกระทบจากการสิ้นสุดมาตรการปกป้องพิเศษ (SSG) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย – ออสเตรเลีย (TAFTA) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นมา ซึ่งกำหนดให้สินค้าเกษตร ที่นำเข้าจากออสเตรเลียจำนวน 17 รายการ เช่น เนื้อวัวและเครื่องใน เนื้อหมูและเครื่องใน ผลิตภัณฑ์จากเนยและนม เป็นต้น เป็นสินค้าไม่มีภาษี ไม่จำกัดปริมาณการนำเข้าอีกต่อไป

สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโคขุนสุรินทร์โกเบครบวงจร ตำบลสลักได อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ นับเป็นกลุ่มวิสาหกิจที่ประกอบอาชีพเลี้ยงโคเนื้อสายพันธุ์วากิว ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ปัจจุบันมีสมาชิก 107 ราย จำนวนโคแม่พันธุ์ 2,079 ตัว แต่ผลผลิตของกลุ่มฯ ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ซึ่งมีความต้องการประมาณเดือนละ 60 ตัว หรือ ปีละ 720 ตัว ขณะที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ผลิตได้เพียงเดือนละ 18 ตัว หรือปีละ 216 ตัวเท่านั้น (คิดเป็นร้อยละ 30 ของตลาดที่มีอยู่)

เป้าหมายของโครงการ คือ การผลิตลูกโคเพศผู้สำหรับขุนได้ ไม่น้อยกว่า 240 ตัว/ปี หรือ 2,400 ตัวตลอด ทั้งโครงการ ด้วยระบบการบริหารจัดการฟาร์มแบบคอกกลาง (Central Feedlot) มีการจัดอบรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรผู้เป็นสมาชิก ทั้งนี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและควบคุมโดยกรมปศุสัตว์ ขณะที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะร่วมยกระดับการบริหารจัดการฟาร์มภายใต้แนวคิดการผลิตแบบคอกกลางที่มีศักยภาพ ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ 10 ปี เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์โครงการ และจะเป็นเนื้อโคขุนที่มีเกรดคุณภาพไขมันแทรกระดับ 2.5 ขึ้นไป จากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน GFM / GAP เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดระดับบน ซึ่งเป็นตลาดเนื้อโคขุนคุณภาพ นอกจากนี้ โครงการนี้ ยังได้จัดทำความตกลงด้านการตลาด (MOU) กับบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว จำนวน 2 ฉบับ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกรว่า มีตลาดรองรับผลผลิตอย่างแน่นอน

รองเลขาธิการ สศก. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สินค้าโคเนื้อ นับเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากตลาดภายในประเทศอย่างมาก แต่กลับพบว่า ปริมาณการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะเนื้อโคคุณภาพระดับเกรดไขมันแทรกตั้งแต่ระดับ 2.5 ขึ้นไป ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถผลิตเนื้อโคขุนคุณภาพไขมันแทรกได้เอง เช่น โคเนื้อลูกผสมยุโรป ชาโรเร่ส์ แองกัส บราห์มัน หรือโคลูกผสมวากิว ที่เป็นโคสายพันธุ์จากประเทศญี่ปุ่น จะส่งผลให้ไทยสามารถลดการนำเข้าเนื้อโคจากต่างประเทศได้ ซึ่ง สศก. โดยกองทุน FTA เรามีความมุ่งมั่นและยินดีให้การสนับสนุนเงินทุน ให้คำปรึกษาแก่กลุ่มเกษตรกร สำหรับนำไปพัฒนาศักยภาพ ทั้งในด้านการผลิต การตลาด เพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ร่วมกันพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรไทย