เชื่อว่าหลายๆคนมีความฝันที่อยากออกมาทำเกษตรเป็นของตัวเอง อยากเป็นตัวเอง วันนี้จันลั่นทุ่งได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับน้อง ขัน สาวอายุ 25 ปี ที่ได้ตัดสินใจออกจากงานมาทำเกษตร เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงคิดว่ามันง่ายแต่จริง ๆ แล้วการทำเกษตรมันไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคนวันนี้จันลั่นทุ่งเลยอยากให้ทุกคนมาฟังเส้นทางสู่เกษตรของน้องขันกันจ้า ซึ่งน้องขันได้เล่ากับทีมงานจันลั่นทุ่งว่า ตนเองลาออกจากงานประจำมาตอนต้นปีที่ผ่านมา รวมแล้วเป็นเวลา 8 เดือนที่ออกมาสานต่อกิจการที่บ้านคือฟาร์มหมู และกิจการของตัวเองคือฟาร์มกบค่ะ
เราเริ่มเลี้ยงกบครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่กบเลี้ยงง่ายที่สุด แต่ราคาจะไม่ดี รุ่นนั้นเรายกให้เป็นคุณครูค่ะ มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเยอะ แม้จะแทบไม่ได้กำไรแต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ค่ะ
ชุดที่ 2 เราลงลูกกบเพิ่มจากเดิมเป็น 3 เท่า ช่วงนี้เลี้ยงยากค่ะ เนื่องจากไม่ใช่ฤดูของกบ หรือที่เรียกว่าเลี้ยงกบนอกฤดู มีปัญหาเกิดขึ้นเยอะกว่าเดิม แต่วิธีการที่เราทำนอกจากการสอบถามผู้รู้หรืออ่านตำรา นั่นคือการทดลองด้วยตนเองค่ะ เราแบ่งกบเป็น 3 ชุด เลี้ยงในลักษณะที่แตกต่างกัน เพื่อทดสอบว่าการเลี้ยงแบบไหนดีที่สุด
สำหรับพื้นที่บ้านเรา ถึงแม้การเลี้ยงสัตว์จะมีทฤษฎีซัพพอร์ตมากมาย แต่พื้นที่บ้าน สภาพอากาศ สภาพน้ำ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เราเชื่อทฤษฎีไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นเราทดสอบเพื่อหาวิธีการเลี้ยงที่ดีที่สุดของฟาร์มเรา เพื่อใช้ในการขยายกิจการในอนาคตค่ะแนวคิดคร่าวๆคือเลี้ยงกบทดลอง ทดลองให้รู้ด้วยตนเองว่าเราจะไปได้ดีกับวิธีแบบใดค่ะ
ปัจจุบันที่เลี้ยงกระชังน้ำ 1 บ่อ กระชังบก 6 กระชัง ราคาขายอยู่ที่ฤดูกาลค่ะ ตันละ 50,000-100,000 บาท กบ 30,000 ตัวได้กบโตประมาณ 4-5 ตัน ความยากสำหรับการเลี้ยงคือเขาคือสิ่งมีชีวิตที่บอกเราไม่ได้ว่าเป็นอะไร ดังนั้นต้องศึกษาและสังเกตอย่างดี ความยากคือสภาพอากาศมีผลต่อการเลี้ยงโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมยากในฤดูหนาวกบจำศีลไม่กินอาหาร ฤดูฝนกบป่วยและเป็นโรคง่ายค่ะ
