ตีกลับ 38 ตัน! ทุเรียนหมอนทอง ไร้คุณภาพ

ด่านตรวจพืช ตีกลับทุเรียนหมอนทอง จากล้ง จ.ชุมพร 38 ตัน! ส่งขายประเทศจีน พบมีทั้งเพลี้ย-ราดำ-อ่อน ไม่มีคุณภาพ อาจดับอนาคตทุเรียนไทย

เจ้าหน้าที่จากกรมวิชาการเกษตร นำโดย นายธรรมนูญ แก้วคงคา ผอ.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วย นายก้องกษิต สุวรรณวิหค ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาเกษตร เขต 7 สุราษฎร์ธานี นายธีระศักดิ์ ยมสวัสดิ์ เกษตรจังหวัดชุมพร และกำลังสารวัตรเกษตร นายตรวจพืช ลงพื้นที่ตรวจสอบ ล้งรับซื้อทุเรียนเพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน หมู่ที่ 7 ตำบลนาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งมีเจ้าของเป็นชาวจีน

หลังจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืช จ.นครพนม และ จ.มุกดาหาร แจ้งว่ามีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ นำทุเรียนหมอนทองที่ไม่ผ่านการตรวจของด่านตรวจพืช ได้ถูกส่งกลับไปยังล้งรับซื้อทุเรียนต้นทางดังกล่าว โดยมี นายวีรวัฒน์ จีระวงส์ นายกสมาคมชาวสวนผลไม้ชุมพร นำคณะมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย

เจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องมือตัดอุปกรณ์ล็อคตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเปิดแล้วนำเอาทุเรียนหมอนทอง ที่บรรจุในกล่องกระดาษจำนวนมาก มีน้ำหนักรวม 18 ตัน ออกมาตรวจสอบทุกคนถึงกับตกตะลึง เมื่อพบว่าลูกทุเรียนทั้งหมดนั้น มีสภาพไม่สมบูรณ์ ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้ขนาดส่งออก แถมยังเป็นตำหนิ มีทั้งเป็นโรคจากแมลง เพลี้ย และราดำ ไม่ได้มาตรฐานการส่งออกอย่างชัดเจน จึงได้สั่งอายัดทุเรียนเหล่านี้ไว้ เพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย

จากนั้น คณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปอีกจุด ซึ่งเป็นสาขาเจ้าของล้งเดียวกัน ที่บริเวณสี่แยกเขาปีป หมู่ที่ 6 ตำทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ซึ่งเป็นที่ตั้งของล้งทุเรียนอีกราย เนื่องจากได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตรวจของด่านตรวจพืชเช่นเดียวกันว่า มีล้งทุเรียนส่งออกถูกเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชตีกลับทุเรียนหมอนทองมายังล้งดังกล่าว จำนวน 20 ตัน เมื่อตรวจก็พบว่า มีทุเรียนหมอนทองจำนวนหนึ่ง เป็นโรคและติดเพลี้ย เป็นราดำ ทุเรียนอ่อน ปะปนอยู่ด้วย จึงได้ทำการอายัดตรวจสอบดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นกัน

สำหรับจำนวนทุเรียนหมอนทองที่ส่งออกประเทศจีน ทั้งหมดรวม 38 ตัน ที่ไม่ผ่านด่านตรวจพืชชายแดนที่ จ.นครพนม และ จ.มุกดาหาร มีมูลค่าส่งออกประมาณ 19 ล้านบาท หากหลุดลอดส่งออกไปยังปลายทางประเทศจีนได้ หากถูกตีกลับ และสร้างความเสียหายแก่วงการทุเรียนจากประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ด้าน นางสาวมธุรา ศรีพรหม อายุ 43 ปี ผู้จัดการล้งทุเรียนที่ไม่ผ่านด่านตรวจพืช บอกว่า ทุเรียนจำนวน 17,000-18,000 กิโลกรัม ที่ล้งรับซื้อนี้ มาจากชาวสวนทุเรียนในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช เป็นทุเรียนที่ตกไซส์ ไม่ได้ขนาด ไม่ใช่ทุเรียนเกรด A ได้รับซื้อมาเพียงกิโลกรัมละ 140-150 บาท เพราะเป็นทุเรียนที่ไม่ได้คัดเกรดตอนรับซื้อก็ไม่ได้มีการตรวจคุณภาพคัดกรองแต่อย่างใด เพียงแค่แยกของดี กับของเสียออกจากกันเท่านั้น การส่งออกไปขายยังประเทศจีน ก็จะมีชิปปิ้งเป็นผู้ดำเนินการ ก่อนส่งออกก็มีการตรวจสอบที่ล้งก่อนแล้ว แต่ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะใช้เวลาขั้นตอนในการส่งออกนาน เมื่อทุเรียนไปถึงด่านตรวจพวกโรคพืช และเพลี้ยที่มันอาจฝักตัวอยู่ในผลทุเรียนจึงแสดงออกมาให้เห็นก็เป็นไปได้

นายธรรมนูญ แก้วคงคา ผอ.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร บอกว่า ขั้นตอนก่อนส่งออกทุเรียน เมื่อถึงด่านตรวจพืชชายแดน จะมีการตรวจสินค้าก่อนออกใบรับรองไปยังต่างประเทศ และหากสงสัยว่าทุเรียนด้อยคุณภาพ เป็นโรค มีราดำ มีเพลี้ย มีน้ำหนักต่ำกว่าที่แจ้ง ก็จะระงับการส่งออกและตีกลับมายังต้นทาง

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ก่อนจะส่งทุเรียนออกจากจังหวัดชุมพร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการตรวจสอบก่อน และมีการติดสติกเกอร์รับรองให้ และเมื่อไปถึงด่านตรวจพืชจะมีการตรวจเอกสาร และสินค้าเพื่อรับรองสินค้าก่อนออกจากด่านไปยังต่างประเทศ แต่ถ้าไม่ตรงกันก็จะไม่ออกเอกสารให้ ในด้านกฎหมายนั้นก็ต้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น ตนคงตอบไม่ได้ ซึ่งคนในพื้นที่ต้องช่วยกันตรวจสอบดูแลด้วย

ขณะที่ นายดำรงศักดิ์ สินศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ตำบลบ้านนา อ.เมือง จ.ชุมพร เจ้าของสวนทุเรียนขนาดใหญ่ ที่เดินทางมาร่วมดูการตรวจสอบในครั้งนี้ด้วย บอกว่า ทุเรียนเป็นพืชสุดท้าย ที่ผลผลิตราคายังไปได้ดี ถ้าชาวสวนหรือพ่อค้า เห็นแก่ตัว จะเป็นการดับอนาคตของทุเรียนไทย ส่วนทุเรียนที่เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบในครั้งนี้ ตนพบความผิดปกติเนื่องจากดูคุณภาพของผลผลิต ทั้งขนาด ผิวสีของเปลือกทุเรียนแล้ว ไม่น่าจะใช่ทุเรียนที่ปลูกในประเทศไทย น่าจะเป็นทุเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีราคาถูกกิโลกรัมเพียง 40-50 บาท เท่านั้น แล้วลักลอบนำเข้ามามาสวมสิทธิ์เป็นทุเรียนไทย แต่โชคดีที่ถูกตรวจพบเสียก่อนไม่งั้นเสียชื่อประเทศไทยแน่นอน