เปลี่ยนสวนกะหล่ำให้เป็นสวนส้มสร้างผลผลิตกว่า 20 ตัน/ปี

เปลี่ยนแนวคิด ลื้อสวนกะหล่ำปลีสร้างสวนส้ม สร้างผลผลิตกว่า 20 ตันต่อปี

เปลี่ยนไร่กะหล่ำให้เป็นสวนส้มให้ผลผลิตกว่า 10 ตันต่อปี ทุกการเกษตรย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ชีวิตต้องเรียนรู้ รู้ว่าเดินผิดทางต้องไม่เดินซ้ำทางเดิม

จันลั่นทุ่งวันนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวสวนที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการทำเกษตรที่อยู่บนดอยกับแนวคิดที่มีความต่าง วันนี้เราได้พูดคุยกับพี่พิทักษ์ ถนอมวิทยา เจ้าของสวนส้มลุงเก๊าโฮมสเตย์ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

ปกติแล้วต้นเองทำไร่กะหล่ำปลีอยู่บนเขามานานหลายปี จนมาถึงช่วงขาลงของกะหล่ำปลี ที่สวนเคยขายกันกิโลกรัมละ 2-3 บาท ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีเคยเป็นข่าวใหญ่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจากใจชาวสวนกะปล่ำปลีอย่างเรา ที่เคยทำมาครั้งนั้นเป็นการขายกะหล่ำปลีที่ถูกที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เลยมาถึงจุดเปลี่ยนเพราะกะหล่ำปลีไปต่อไม่ได้เลยตัดสินใจมาปลูกส้มสายน้ำผึ้ง ด้วยพื้นที่ที่สวนเป็นพื้นที่ภูเขาสูง อากาศเย็น เลยตัดสินใจปลูกส้มสายน้ำผึ้ง

ข้อดีของการปลูกส้มสายน้ำผึ้ง พื้นที่ที่มีอยู่นั้นอากาศดีและดินเขายังมีแร่ธาตุอุดมสมบรูณ์ ข้อดีของการปลูกส้มบนเชิงเขาน้ำที่ลงดินจะไม่ท่วมขัง ต่างจากถ้าเราปลูกลงที่ราบถ้าให้น้ำเยอะเกิน ส้มเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำขัง ถ้าน้ำขังมากจะทำให้รากเน่า ทำให้การปลูกที่เชิงเขานั้นเป็นผลดีเป็นอย่างมาก ซึ่งการปลูกส้มสายน้ำผลมีขั้นตอนการดูแลค่อยข้างเยอะพอสมควร ส้มสายน้ำผึ้ง ต้องมีการฉีดฮอร์โมนบำรุง และใน 1 ปีจะให้ผลผลิตช่วงเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม

ซึ่งราคาส้มสายน้ำผึ้ง มีราคาที่ค่อยข้างโอเค โดยเกรด A จะมีราคาอยู่ที่ 50-60 บาท/กิโลกรัม เกรด B-C จะมีราคาอยู่ที่ 30-40 บาท/กิโลกรัม ซึ่งปัจจุบันการปลูกส้มถือว่าเป็นรายได้หลักให้ครอบครัว ตอนนี้ที่สวนปลูกส้มสายน้ำผึ้ง 7 ไร่

ให้ผลผลิตถึง 10-20 ตันต่อปี เกษตรปัจจุบันต้องรู้จักเปลี่ยนแปลง รู้จักเรียนรู้ ตนเองเป็นชาวเขาก็จริง แต่ก็คอยศึกษาข้อมูลปรับเปลี่ยนการทำเกษตรอยู่เสมอและยังเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนของสวนเป็นโฮมสเตย์เล็ก ๆ ให้นักท่องเที่ยวเข้าพักเป็นเป็นการสร้างรายได้อีกหนึ่งช่องทางให้กับที่สวนอีกด้วย