สรยุทธ โต้กลับ หมอนงนลินี หลังถูกกล่าวหา ร้องไห้ อยากเอายาแจกคนไข้

เคลื่อนไหวแล้ว! สรยุทธ โต้กลับ หมอนงนลินี หลังถูกกล่าวหา ร้องไห้ อยากเอายาแจกคนไข้ อาการหนักเอง

จากกรณี หมอนงนลินี โพสต์ผ่านเพจบุ๊ก ส่วนตัว ตั้งคำถามกลับ สรยุทธ เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง? พร้อมแนะนำ วิธีการนำเสนอข่าว และ วิธีช่วยเหลือคนป่วย

ล่าสุด เมื่อคืนนี้ 21 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง โต้กลับ หมอนงนลินี หลังถูกกล่าวหา

อีจันจะไล่เป็นข้อๆ ให้อ่านนะคะ

สรยุทธ : ตอบ คุณหมอนงนลินี ครับ

“ผมไม่เคยประสานผู้บริหาร สปสช. กรมการแพทย์ เพื่ออยากเอายา (ฟาวิพิราเวีย) มาแจกคนไข้หนักเสียเอง นะครับ คุณหมอเป็นอะไรครับ ถึงได้กล่าวหาคนอื่นง่ายๆ แบบนั้น”

หมอนงนลินี ถาม

“คุณเห็นแค่ปลายทางที่คนไข้หนัก คุณร้องไห้ คุณประสานผู้บริหาร สปสช. กรมการแพทย์ที่อยากเอายามาแจกคนไข้หนักเสียเอง โชคดีบังเอิญที่ดิฉันได้รับรู้ควาพยายามอันนี้ จึงพยายามโพสต์ พยายามโทรเข้ากรมการแพทย์ เพื่อมิให้พวกคุณนำยา นำออกซิเจนมาแจกเสียเอง เพราะอะไร?

เพราะคนเหนื่อยไม่ต้องการแค่ยา ไม่ต้องการออกซิเจน ต้องการการประเมินดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องการยาลดการอักเสบที่ใช้ฉีดเอา มิได้กินเอา

ถ้ารักษาคนไข้หนักกันเอาเอง เราก็จะเหมือนอังกฤษ ที่ช่วงนึงคนตายเยอะมากเพราะแจกยาต้านไวรัสและสเตียรอยด์ ผลที่ตามมาคือได้พันธุ์ไวรัสเป็นของตัวเอง”

สรยุทธ ตอบกลับ

“ย้ำนะครับ ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า จะเอายามาแจกผู้ป่วยเสียเอง เพราะผมไม่ใช่หมอ ที่เคยพูดคุย (อย่างเปิดเผยผ่าน live) กับเลขาธิการ สปสช. ก็คือการถามถึงนโยบาย home isolation

เพื่อผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวกักตัวเองอยู่บ้าน โดยจะมีระบบดูแล และส่งของจำเป็นไปให้อย่างไร ผมก็เพียงถามว่า ถ้าผู้ติดเชื้ออยากได้ยาต้านไวรัส “ฟาวิพิราเวีย” จะมีหลักเกณฑ์อย่างไร คำตอบก็เป็นนโยบายของ สปสช. ว่าสามารถให้ได้อย่างไร

ส่วนตัวผม ตั้งแต่วันที่คุยกับ เลขาฯ สปสช.ในวันนั้น (ซึ่งไม่ใช่การกลับลำ อย่างที่คุณหมอมาขอบคุณผมในเวลาต่อมา) คือ ผู้ป่วยสีเขียวให้อยู่ home หรือ community isolation

เพื่อจะสงวนเตียงใน รพ. และหมอพยาบาล ไว้ช่วย ผู้ป่วยสีเหลือง และสีแดง ไม่อย่างนั้น เราจะสูญเสียกันอีกมาก

ถ้าผู้ป่วย 2 กลุ่มนี้ ตกค้างตามบ้าน ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หลักฐานก็เป็นบันทึกที่อยู่ในเพจนี้ครับ

ส่วนกรมการแพทย์ ผมไม่เคยพูดคุย แม้กระทั่งวันที่พบอธิบดีกรมการแพทย์ ในวันพบสื่อ ผมก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ ส่วนที่ผมเคยโพสต์

และพูดเรื่อง “ยาฟาวิพิราเวีย” ไปรายการคือ คิดเองว่า ถ้าตรวจ แอนติเจน เทสต์ แล้วผลเป็นบวก ควรได้ “ยาฟาวิพิราเวียร์” ง่ายกว่านี้? ในภาวะฉุกเฉิน

กว่าจะต้องรอเข้าตรวจ RT-PCR กว่าจะได้ตรวจ กว่าจะยืนยันผล กว่าจะเข้าระบบ แล้วถึงจะได้รับการพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวีย มันจะช้าไป จากสีเขียว จนกลายเป็นสีเหลือง เป็นสีแดง ไปก่อนหรือเปล่า

สายพันธ์เดลต้า อาการรุนแรงใน 3-5 วัน เร็วกว่า สายพันธุ์อัลฟา ที่ 7-10 วัน อยากขอความรู้จากแพทย์จริงๆ ครับ หลักฐานก็อยู่ในเพจ และในคลิปรายการ

ผมขอเอายา “ฟาวิพิราเวียร์” มาแจกเองตรงไหนครับ

ผมเพียงตั้งข้อสังเกต ถึงระบบเมื่อให้ตรวจ ATK แล้วยังไงต่อ กว่าจะเข้าระบบได้ต้องผ่านอะไร และกว่าจะเข้าถึงยา “ฟาวิพิราเวียร์” มันจะช้าไปหรือไม่ กับความฉุกเฉินที่เป็นอยู่ ผมแค่ขอความรู้

ไม่เคยกดดันให้แจก และไม่เคยไปขอมาแจกเอง

หมอนงนลินี ถาม

“แต่ถึงอย่างไรขอบคุณคุณสรยุทธ คุณได๋ ที่กลับลำ ไม่สร้างความลำบากใจให้แพทย์ ที่อยู่ด่านหน้าด้วยการดื้อดึง ที่จะหายาฟาวิพิราเวียร์ และสเตียรอยด์มาแจกเอง เห็นตัวอย่างประเทศที่ทอดทิ้งคนไข้แจกยากินเองแม้ในคนไข้หนักไหมคะ?

ทั้งอังกฤษ ทั้งอินเดีย ทั้งอเมริกา เขามีสายพันธุ์เป็นของตัวเอง”

สรยุทธ ตอบกลับ

“นี่คุณหมอก็เอามาจากไหนอีก 1.ผมไม่ได้กลับลำ เพราะไม่ได้ทำมาแต่ต้น และ 2.สเตียรอยด์ คุณหมอจินตนาการเอาเองจากไหนครับ

ผมทำข่าว ผมรู้เรื่องการใช้สเตียรอยด์ ในอินเดียว่าเกิดผลอะไร และในรายการ หรือ ในเพจผมก็ไม่เคยพูดถึง และไม่เคยคิด แต่คุณหมอบอกผมดื้อที่จะแจกสเตียรอยด์ น่าผิดหวัง ทำไมเลือกจะกล่าวหาคนอื่นง่ายๆ แบบนี้

แต่ถ้าถามแจกออกซิเจนมั้ย สำหรับผม แจกครับ เพื่อจะประคับประคองอาการ หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้ผู้ป่วยโควิด ต้องทุกข์ทรมานจนเกินไป ระหว่างรอเวลา รอเตียง รอหมอ

หมอนงนลินี ถาม

“เพราะคนเหนื่อยไม่ต้องการแค่ยา ไม่ต้องการออกซิเจน ต้องการการประเมิน ดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องการยาลดการอักเสบที่ใช้ฉีดเอา มิได้กินเอา

สรยุทธ ตอบกลับ

“ผมถามคุณหมอว่า เมื่อเราไม่มีหมอมาประเมินดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะหมอไม่พอ (ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปต่อว่าใคร) เราต้องยอมจำนน ให้ผู้ป่วยต้องทุกข์ทรมาน รอความตายไปอย่างนั้นใช่มั้ยครับ

ให้ออกซิเจนไม่ได้ หรือช่วยเหลือเฉพาะหน้าอะไรไม่ได้ ให้อะไรก็ไม่ได้ เพราะต้องให้หมอมาประเมินดูแลอย่างใกล้ชิดเท่านั้น

อย่าผูกขาดการช่วยเหลือผู้ป่วยไว้แค่หมอเลยครับ”

“ผมเชื่อว่า เหล่าจิตอาสา หรือ สื่ออย่างผม ไม่มีใครกล้าล้ำเส้น ไปให้อะไรที่ไม่ได้ผ่านการปรึกษาหารือเบื้องต้น กับหมอหรอกครับ

เพราะมันคือเรื่องของชีวิต ไม่มีใครเสี่ยงทำอะไรไปเอง เพียงแต่ไม่ใช่ปรึกษา คุณหมอนงนลินีเท่านั้น

หมอนงนลินี ถาม

“ทำไมคุณเป็นนักข่าวไม่ไปเจาะลึกว่าคนไข้ในรพ.สนาม แต่ละวัน รับคนไข้กลุ่มไหน รับมาแล้วต้องอยู่ถึง 14วัน ”

สรุยุทธ ตอบกลับ

“ขอโทษนะครับ ข่าวนี้ไม่ต้องเจาะลึก ใครก็รู้ว่า รับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว นี่นโยบายกระทรวงสาธารณสุขนะครับ

แต่ที่ผมพยายามทำโดยไม่ต้องเจาะข่าวด้วย คือ ผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง ยังอยู่ตามบ้าน นอนทนทุกข์ทรมาน รอความช่วยเหลืออยู่มากมาย ซึ่งดูเหมือนคุณหมอจะพยายามบอกผมว่า อย่ายุ่ง”

หมอนงนลินี ถาม

“เราควรจะได้นักข่าวที่ช่วย รพ.สนาม เต็มที่ เราควรจะได้นักข่าว ที่เป็นกระบอกเสียงแทน และกดดัน รพ.สนาม ให้รับคนไข้หนัก มากกว่าคนไข้ครองเตียงเพื่อประกัน”

สรยุทธ ตอบกลับ

คุณหมอย้อนไปดูในเพจ หรือคลิปรายการก็ได้ ผมไม่ได้ทำจริงๆ หรือครับ

หมอนงนลินี ถาม

“เราควรจะได้ดาราที่ช่วยกันบริจาคเพื่อ รพ. หรือเพื่อ ปชช. ที่ตกงาน หรืออย่างน้อยแรงจิตอาสาก็ยังดี

ในการช่วยดูแลคนไข้สีเขียวแบ่งเบาภาระสาสุข ดาราเป็นจิตอาสา ความเป็นบุคคลสาธารณะ ทำให้คนฮึกเหิมอยากอาสามากขึ้น”

สรยุทธ ตอบกลับ

“คุณหมอไปอยู่ไหนมาครับ คุณหมอพร่ำพรรณา ประมาณว่า ไม่อยากให้เอาการเมืองมาเกี่ยว เป็นต้นว่า อยากจะบอกว่าเราจะไม่มีวันมาถึงจุดนี้เลย ถ้าเราไม่อคติต่อกัน เอาเรื่องการเมืองนำ

อ่านแล้วรู้สึกว่า คุณหมอเองมุ่งมั่นกับการเมืองหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ก็ขออภัย

และดูเหมือนคุณหมอ จะมีปัญหากับน้ำตาของผมมาก ผมขออภัยครับที่น้ำตาของผม จะทำให้คุณหมอไม่สบายใจ”

“ที่ผ่านมา หลายกรณีที่เกิดขึ้นกับเคสรอตรวจ รอเตียง รอเข้าระบบ จนหลายคนอาการหนัก จนหลายคนเสียชีวิต

เพราะถูกปฏิเสธ สังเกตดูได้ว่า ผมไม่เคยต่อว่าหมอ และบุคลากรทางการแพทย์แบบเจาะจง เล่าเรื่องราวแล้วก็ผ่านไป เพราะรู้ว่า ทุกคนทำงานหนัก และมันเป็นปัญหาที่ระบบ ไม่ใช่ตัวบุคคล ที่แบกภาระมามากเกินจะรับไหวแล้ว

“วันนี้ ผมเสียใจที่ต้องเจาะจงถึง คุณหมอนงนลินี เพื่อตอบคำถาม ของคุณหมอนงนลินี เองนะครับ

เป็นกำลังใจให้ทำหน้าที่หมอ นะครับ”

ข้อความทั้งหมด ที่หมอนงนลินี โพสต์ถาม และ นายสรยุทธ ตอบกลับ คงชัดเจนกันแล้วนะคะ