ศบ.ทก. ออกแถลง! ปม ไทย-กัมพูชา ย้ำ ไทยเพิ่มมาตรการจำกัดคนเข้าด่าน  

ย้ำกับประชาชน! ศบ.ทก. ออกแถลง! ปม ไทย-กัมพูชา ย้ำ ไทยไม่กันแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในไทย พร้อมเพิ่มมาตรการจำกัดคนเข้าด่านเฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นเท่านั้น

แถลงการณ์แล้ว! ปม ไทย-กัมพูชา  

วันนี้(23 มิ.ย.68) นิกรเดช พลางกูร โฆษก ศบ.ทก. ได้ออกมาแถลงการณ์เกี่ยวกับ สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา  เผยว่า… 

รัฐบาลยังคงยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการปิดด่าน หรือจุดผ่านด่านถาวร ทุกด่านยังคงเปิดทำการปกติ แต่จะมีการจำกัดการผ่านแดนเฉพาะผู้ที่มีความจำเป็น และจำกัด วัน- เวลาในการเข้าออก ซึ่งเป็นการบังคับใช้มาตรการขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จากที่มีทั้งหมด 4 ขั้น  

ทั้งนี้ฝ่ายไทยจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาในการเพิ่มความเข้มข้นของการใช้มาตราการต่างๆ โดยส่งผลต่อประชาชนน้อยที่สุด  

สำหรับ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.68 ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 2 ได้มีคำสั่งปรับมาตราการจุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์  ซึ่งไม่ถือเป็นการปิดด่านดินแดนถาวร หรือแม้แต่จุดผ่านแดนชั่วคราว ซึ่งจะมีการแบ่งประเภทจุดผ่านแดนแบบต่างๆมีหลายประเภท เป็นจุดผ่อนปรนทางการค้า เป็นจุดมิติทางเศรษฐกิจ เปิดเพื่อให้มีการค้าสินค้า อุปโภค-บริโภคที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งการเปิดจุดผ่อนปรนเป็นจุดที่หน่วยทหารในพื้นที่ได้พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการจากการประเมินภาพรวมของสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่ และเป็นมาตราการที่ต้องดำเนินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการรืไม่สงบระหว่าง 2 ประเทศ   

ตามนโยบายการป้องกันอาชญกรรมข้ามชาติและการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น การหลอกลวงออนไลน์ การลักลอบขนส่งผิดกฎหมาย และการลักพาตัว ภายใต้นโยบายเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายอำนาจให้หน่วยทหารในพื้นที่ และเป็นการดำเนินการตลอดแนวชายแดนแถบตะวันออกของไทยทั้งหมด  

ประเด็นที่ 2  รัฐบาลไทยจริงจังกับการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติโดยเฉพาะ การหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งไทยได้มุ่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวในฝั่งตะวันตกของประเทศ โดยได้มีการประชุมกันระหว่าง ไทย เมียนมาร์ จีน เพื่อร่วมกันประสานเพื่อปราบปราม คอลเซ็นเตอร์ ที่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ผลมาก เพราะพบการกระทำผิดลดน้อยลง และเหยื่อจำนวนมากได้รับความช่วยเหลือ แต่ปัญหานี้กลับมาเล่นงานที่ฝั่งตะวันออกของประเทศมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยเองไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และที่ผ่านมาได้ร่วมมือ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว  โดยเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ นายกแพทองธาร ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับประเด็นนี้ และได้ประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยไทยอาสาเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและจะประสานความร่วมมือกับนานาประเทศ  

ซึ่งนอกจากการกำจัดบุคคลและวันเวลาเปิด-ปิดด่าน รัฐบาลจะดำเนินการมาตราการที่เข้มข้นขึ้น เช่น การระงับอินเตอร์เน็ต และ การส่งออกสินค้าที่หนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ   

ประเด็นที่ 3 ในส่วนของนโยบายที่เกี่ยยวข้องกับกับแรงงานกัมพูชา ตรงนี้รัฐบาลไทยจะยังดูแลเรื่องสวัสดิการให้กับแรงงานกัมพูชาตามกฏหมาย และขอยืนยันว่า ไทยไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานกัมพูชาออกนอกราชอาณาจักร แต่จะให้เป็นความสมัครใจของแรงงานกัมพูชา หากต้องการที่จะกลับประเทศ ย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพของแต่ละคน  โดยรัฐเตรียมแผนสำรองไว้ให้แล้ว ด้วยการนำแรงงานสำรองจากประเทศอื่นมาเพื่อธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ต่อเนื่อง ย้ำอีกครั้งว่า แรงงานกัมพูชายังสามารถทำงานในประเทศไทยได้ตามปกติ  

ประเด็นที่ 4  ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ปฏิบัติตาม MOU 2543 อย่างเคร่งครัด ไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาว่า ประเทศไทยละเมิด MOU 2543 ตามที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ ทั้งนี้หากฝ่ายใดเห็นว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิด MOU 2543 ก็สามารถใช้กลไกทวิภาคี การเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาได้  อย่างกลไก JBC และ RBC ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจและลดความตึงเครียดที่มีอยู่  

สุดท้าย ย้ำว่า ไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคี ในขณะเดียวกันเราจะเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินมาตราการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งอาจมีผลทางอ้อมต่อประชาชนทั้ง 2  ฝ่าย   

ทั้งนี้ทาง พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษก ศบ.ทก.ศูนย์เฉพาะกิจฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ออกมารายงานในการแถลงเพิ่มเติมว่า  ตอนนี้สถานการณ์ตามแนวไทย-กัมพูชา กำลังทวีความรุนแรงและความตึงเครียดมากขึ้น จากวิกฤตการณ์ของกองกำลังทหารล่าสุดและการกระทำของบุคคลบางกลุ่มในพื้นที่ชายแดน ซึ่งได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทย ทั้งในลักษณะการเดินลาดตระเวนพร้อมด้วยอาวุธ และการกระทำที่ยั่วยุ โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาควาย รวมถึงการปิดจุดป่านแดนฝ่ายเดียวโดยไม่มีการหารือล่วงหน้า ซึ่งประเทศไทยเองได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไทยยึกมั่นในหลักสันติวิธีมาโดยตลอด และมีความมุ่งมั่นที่จะคลี่คลายปัยหาทั้งหมดด้วยวิธีการเจรจาแบบทวิภาคี  ในขณะเดียวกันไทยยังคงมองพี่น้องชาวกัมพูชาเป็นมิตรเสมอ เข้าใจและแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าพฤติกรรมที่สร้างความตึงเครียดในขณะนี้  เป็นคำสั่งของผู้บริหารสูงสุดบางคนไม่ได้ส่งผลต่อประชาชนกัมพูชาโดยรวม  โดย ทีมไทยแลนด์  ได้ตัดสินใจดำเนินมาตรการควบคุมเพิ่มเติมในบางพื้นที่บริเวณแนวชายแดน โดยเฉพาะ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์  สระแก้ว จันทบุรี และตราด   

ล่าสุดแล้ว มาตรการที่ควบคุมโดยศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ได้แก่  

1.การจำกัดบุคคลที่สามารถเข้าออกพื้นที่ 

2.การจำกัดเวลาจุดผ่านแดน 

3.การปิดบางจุดผ่านแดน  

4.การปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน  

ซึ่งจะมีการใช้ใน ข้อที่ 1 และ 2 เท่านั้น