
ตีลังกาเล่าข่าว โดย กรรณะ
ความขัดแย้งไทยกับกัมพูชารอบล่าสุดเหมือนจะยิ่งทำให้สองชาติถอยห่างออกไปเรื่อยๆ และจากท่าทีของสองพ่อลูกตระกูล “ฮุน” ก็ออกไปในทางที่เติมเชื้อไฟมากกว่าชักฟืนออกจากไฟ ท่ามกลางข้อครหาว่ากำลังทำเพื่อปิดบังอะไรในประเทศหรือไม่ เพราะท่าทีแต่ละอย่างหลายคนมองแล้วว่ากำลัง “เร่งเกม” อย่างผิดปกติ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคลิปเสียง ภาพในห้องนอน การปิดด่าน การประกาศไม่รับซื้อไฟ หรือการประกาศงดรับซื้อน้ำมันจากไทย โดยเริ่มจาก “สมเด็จ ฮุน เซน” อ้างการให้สัมภาษณ์ของไทยว่ามีการขู่ไม่ขายน้ำมัน แล้วบอกว่ากัมพูชาควรงดซื้อน้ำมันจากไทย ซึ่งจริงๆแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนที่พูดเช่นนี้ แต่กลับถูกตีปี๊บให้เป็นเรื่องใหญ่โต จนที่สุดก็เป็นเหมือนหลายๆครั้งเมื่อ “พ่อคิด – ลูกทำ”
เมื่อ “นายกฯ ฮุน มาเนต” ก็ประกาศงดซื้อน้ำมันจากไทย คำถามคืออะไรทำให้ต้องทำอย่างนั้นเพราะเอาเข้าจริงรัฐบาลไทยไม่มีท่าทีเช่นว่าเลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าการประกาศเช่นนี้อาจจะได้ใจคนกัมพูชาว่าไม่ต้องพึ่งพิงพลังงานจากไทย ถูกต้องตามหลัก “ชาตินิยม” ทุกประการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้คือคนกัมพูชาต้องใช้ของแพง น้ำมันแพง เพราะขาดแคลน
ก่อนอื่นเรามาดูบริษัทน้ำมันในกัมพูชา โดย บริษัทข้ามชาติในกัมพูชาที่มีการนำเข้าและจำหน่ายน้ำมันมีสี่บริษัท คือ Caltex Cambodia Limited / Chevron Cambodia เจ้าของแบรนด์ Caltex – Chevron , Total Cambodge ซึ่งบริษัทแม่ก็คือ TotalEnergies จากฝรั่งเศส , Bright Victory Mekong Petroleum จาก Pertamina บริษัทน้ำมันแห่งชาติ อินโดนีเซีย และ PTT จากประเทศไทย
แต่ในทั้งสี่บริษัท บริษัทที่มีรายได้มากที่สุดคือ PTT ของไทย และปี 2024 มีรายได้กว่า 17,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจำหน่ายน้ำมันแบบนำเข้าเพื่อจำหน่ายที่ปั๊มอื่น และจำหน่ายที่ปั๊มของ PTT เอง โดย PTT ในกัมพูชามีปั๊มน้ำมันอยู่ 169 แห่ง
ขณะที่หากนับจำนวนปั๊มที่มีมากที่สุดคือ Kampuchea Tela หรือที่เรียกกันว่า Tela ที่มีอยู่เกือบ 2,000 ปั๊ม
โดยน้ำมันของ Tela ใช้โรงกลั่นของสามประเทศคือ ไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยหลักคือสิงคโปร์ และ ไทย แต่การนำเข้าน้ำมันจากไทยก็มีถึง 30% ซึ่งหากหายไปจากระบบก็จะทำให้น้ำมันขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น
ประกอบกับหลังจากประกาศไม่ทันไรก็เกิดเหตุ สหรัฐฯ ถล่ม อิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นทันที คำถามคือเมื่อใครๆก็กลัวราคาน้ำมันสูงแต่กัมพูชากลับเดินหน้าให้ตัวเองขาดแคลนและน้ำมันแพงขึ้นกว่าทั่วไปอีกเช่นนั้นหรือ คำตอบอาจจะอยู่ที่ใครเป็นเจ้าของ Tela

บริษัท Kampuchea Tela ก่อตั้งขึ้นในปี 1993 โดย “ออกญา ชุน ออน” ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
นอกจากธุรกิจปั๊มน้ำมัน ยังมีธุรกิจอีกหลายอย่างคล้ายๆปั๊มน้ำมันทั่วไปเช่นมินิมาร์ทอย่าง Tela Mart, และร้านกาแฟอย่าง LUNA Cafe
จากข้อมูลผู้ถือหุ้นหลักของ Tela คือ บุน ซัมเฮียง ถือหุ้น 220 หุ้น 22% ชื่อนี้หลายคนอาจจะไม่คุ้น แต่ชื่อนี้คือชื่อเดิมของ “บุน รานี” ภริยาของ “สมเด็จฮุน เซน”
นอกจากนี้ยังมี “ฮุน มานา” ลูกสาวของ “สมเด็จ ฮุน เซน” ถือหุ้น 100 หุ้น 10%
ที่เหลือ 680 หุ้น หรือ 68% จดทะเบียนในนามบุคคลอื่น ๆ อย่างไรก็ตามมีข้อครหาว่า ผู้ถือหุ้นรายอื่นก็เป็นนอมินีของตระกูล “ฮุน” ทั้งสิ้น
ดังนั้นการที่ลดการนำเข้าจากไทยและราคาน้ำมันแพงขึ้น ทำให้ถูกมองว่าผู้ที่จะได้ประโยชน์โดยตรงก็คือบริษัท Tela นั่นเอง

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่เพียงแต่ธุรกิจปั๊มน้ำมัน แต่ธุรกิจขนาดใหญ่ในกัมพูชาล้วนแล้วแต่ผูกพันกับตระกูล “ฮุน” ทั้งสิ้น โดยมีการเปิดเผยจาก โกลบอล วิตเนส ซึ่งมีสำนักงานในกรุงลอนดอน ระบุว่าตระกูล “ฮุน” รวม 27 คน มีหุ้นอยู่ใน 114 บริษัททั่วประเทศ โดยมีธุรกิจที่ครอบคลุม ทั้งอิเล็กโทรนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่ออุปโภค บริโภค
แม้แต่บริษัทนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรูหราก็ต้องนำเข้าผ่านบริษัทของน้องสาว “สมเด็จฮุน เซน”
ธุรกิจสื่อก็ถูกครอบครองโดย “ฮุน มานา” บุตรสาวของเขาหรือแม้แต่ธนาคาร ตระกูล “ฮุน” ก็เข้าไปมีบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อม
ทำให้ถูกมองว่า แม้ชาวกัมพูชาจะยากลำบากจากมาตรการต่างๆ ที่ถูกชักธงชาตินิยมนำหน้า แต่คนที่ไม่กระทบ และสามารถเก็บเกี่ยวกำไรจากของที่แพงขึ้น ก็คือคนของตระกูล “ฮุน” เจ้าสัวใหญ่ที่สุดของกัมพูชา