ส.ว.สมชาย ลั่น! ยังบอกไม่ได้ว่าเลือกใครเป็นนายกฯ รอ กกต. รับรองก่อน

ส.ว.สมชาย ชี้ กกต. ควรส่งให้ศาลฯ วินิจฉัยปม พิธา ถือหุ้นสื่อ ระบุยังบอกไม่ได้ว่าเลือกใครเป็นนายกฯ

วันที่ 16 พ.ค. 66 เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เปิดเผยว่า นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงผลการเลือกตั้งว่า เป็นเรื่องดีที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก คาดว่าเดือนกรกฎาคม จะสามารถเปิดประชุมรัฐสภาได้

หลังจากนั้นภายใน 15 วันก็จะเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี

แต่จนถึงตอนนี้ ยังตอบไม่ได้ว่า ส.ว. จะเลือกใคร เบื้องต้นทราบว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอตัวเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่มีอะไรการันตีว่าจะมีเพียงชื่อเดียว พรรคอื่นอาจจะเสนอชื่อมาอีกก็ได้ ยังมีเวลา และพรรคการเมืองอาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวคิด

ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าจะเลือกใคร ต้องรอให้ กกต. รับรองผลการเลือกตั้งก่อน ยังเร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้

นายสมชาย ระบุด้วยว่า แต่โดยส่วนตัวแล้วมีกติกาชัดเจนว่า คนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีวิสัยทัศน์นำพาประเทศไปสู่ความเจริญ ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่สร้างศัตรู หรือเป็นคู่กรณีกับประเทศใด สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งประเทศ และไม่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองเหมือนต่างชาติ

ผู้นำประเทศต้องมีความรอบรู้ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การบริหารราชการแผ่นดิน รู้ที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยแวดล้อมที่ต้องพิจารณาด้วย เช่น รัฐบาลใหม่จะสามารถพาประเทศ ไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้หรือไม่

ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า ส.ว. จะมีวุฒิภาวะในการพิจารณาจะเลือกใคร ส่วนตัวไม่ขอก้าวล่วง ส่วนที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ส.ว. จะขวางไม่ให้พรรคก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลนั้น จะกลายเป็นสร้างแรงกดดัน ให้กับ ส.ว. เลือกนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว ซึ่งไม่ควรทำ หากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอื่นๆ เสนอแคนดิเดตเข้ามา และมีเสียงสนับสนุนมากกว่าพรรคก้าวไกล ส.ว. ก็ต้องดำเนินการไปตามเสียงส่วนใหญ่

“ส่วนตัวเชื่อว่า พรรคก้าวไกล อาจรวมเสียงได้ไม่ถึง 309 เสียง เพราะยังมีบางพรรคที่มีปัญหา ต้องพิจารณาอีกหลายอย่างประกอบ อย่างเช่น การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่หลายคนเป็นกังวล ดังนั้นต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะแก้ไขหรือยกเลิก” นายสมชาย กล่าว.

นอกจากนี้ นายสมขาย ยังบอกด้วยว่า นายพิธา ต้องพิสูจน์เรื่องการถือครองหุ้นในบริษัทสื่อมวลชน ที่ยังประกอบกิจการอยู่ด้วย ซึ่ง กกต. จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อให้การขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ของนายพิธา เป็นที่ยอมรับของสังคม เช่นเดียวกับหลายๆ คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องตรวจสอบการถือครองหุ้นของตัวเองให้ชัดเจนด้วย

คลิปอีจันแนะนำ
เคาะ! ก้าวไกล เพื่อไทย จับมือปรับโฉมประเทศ