
ตีลังกาเล่าข่าว โดย “กรรณะ”
เหมือนที่ผู้เขียนเคยบอกไว้เมื่อตอนที่แล้วว่า แม้พฤษภาคมจะไม่ใช่เดือนเดือดหรือเดือนที่ชี้ขาดอะไร แต่จะเป็นเดือนที่ปูเรื่องราวและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้การเมืองไทยอาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าได้
และแค่หลังการหยุดยาวช่วงต้นเดือนกลับมา “การเมือง” ก็เริ่มระอุขึ้นทันที เริ่มจากข่าวการเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในการปรับ ครม. ที่คาดว่าไม่น่าจะเกินเดือนมิถุนายน ซึ่งมีกระแสว่า “ภูมิใจไทย” อาจจะยอมถอนจากที่มั่นมหาดไทย ไปสู่ “กระทรวงสาธารณสุข” กระทรวงเดิมของ “รองฯ หนู – อนุทิน ชาญวีรกูล” ในสมัยรัฐบาล “ลุงตู่”

ต้องบอกว่าตลอดเดือน “เมษายน” มีทั้งปฏิบัติการข่าวและปฏิบัติการจริงในการดึง “ภูมิใจไทย” ออกจาก “มหาดไทย” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดึง “งูเห่า” เข้ามาร่วมรัฐบาล การขย่มเรื่อง สว. และแม้แต่เรื่องการก่อสร้างรัฐสภา ซึ่ง “ภูมิใจไทย” เองก็ทำท่าถอดใจ พร้อมที่จะกลับไปที่มั่นเดิม
ถึงขนาดปล่อยสรุปผลงานของ “มท.1 อนุทิน ชาญวีรกูล” ตลอดสองปีที่ผ่านมา พร้อมการให้ข่าวของเจ้าตัวทีเล่นทีจริงว่า ทุกคนรู้ว่าเขาอยากอยู่กระทรวงสาธารณสุขขนาดไหน
ขณะที่เวที สว. ที่เป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับ “ภูมิใจไทย” ดีเอสไอก็รุกไล่ไม่เป็นขบวนด้วยการเปิดหลักฐานมาเป็นระลอก ๆ มีข่าวปล่อยมาว่า นักการเมืองระดับคีย์แมนอาจถูกหมายเรียกและเข้าข่ายร่วมขบวนการฮั้วเลือก สว. ที่สำคัญมีข่าวถึงขนาดที่ว่ามีเส้นเงินชัดเจนถึงตัวเพราะ “บิ๊กการเมือง” โอนออกจากบัญชีตัวเองโดยตรงเพื่อภารกิจครั้งนี้
นอกจากนี้ยังลงพื้นที่ล็อกเป้า จนผู้ว่าฯ อำนาจเจริญ ต้องทำหนังสือลับ ที่ส่งไปทั่วเพื่อบอกว่า “ดีเอสไอ” กำลังทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง
แต่ดูเหมือนว่าสังคมทั่วไปจะไม่มองแบบที่ผู้ว่าฯ อำนาจเจริญมอง แต่กลับมองว่าการทำแบบนี้เป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของดีเอสไอ
กลับมาที่ “เพื่อไทย” ก็ไม่ได้สบายตัว เพราะเมื่อแพทยสภาก็ออกมาพักใบอนุญาตการประกอบเวชกรรมของแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับคดีชั้น 14 ถึงสองคน
งานนี้แม้โดยตรงจะไม่เกี่ยวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีตำแหน่งพ่อนายกฯ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเห็นครั้งนี้ของแพทยสภาจะถูกนำไปประกอบสำนวนการพิจารณาที่ศาลฎีกานักการเมืองรับไต่สวนไว้เอง กรณีที่อาจไม่มีการปฏิบัติตามคำพิพากษาสั่งจำคุก “บิดาของนายกฯ”

และจะเป็นความเห็นสำคัญที่ระบุว่าอาจมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
ไม่ทันข้ามวัน “ส.ท.ร.” ก็โดนดอกสองเมื่อเขาทำเรื่องขออนุญาตออกนอกประเทศต่อศาล หลังจากที่ศาลเคยให้ประกันตัวในคดี 112 แต่ปรากฏว่าศาลปฏิเสธคำขอ
ทำให้คนมองว่านาทีนี้ “ทักษิณ” ถูกจับกักไว้ในประเทศ และหากมีคำตัดสินไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา หรือเรื่องคดี ม.112 คราวนี้เขาก็ไม่อาจออกไปนอกประเทศได้เหมือนเมื่อครั้งที่อ้างว่าจะไปดูโอลิมปิกเมื่อปี 2008 และครั้งนั้นเขาก็ไม่กลับมาฟังคำพิพากษาและออกไปอยู่ต่างประเทศยาวนานถึง 15 ปี
มีความพยายามเชื่อมโยงว่า การไม่อนุญาตเช่นนี้ก็เท่ากับปิดโอกาสของ “ทักษิณ” ในการบิดพลิ้วรับฟังคำพิพากษาหรือไม่ยอมรับคำพิพากษา
และที่สำคัญมีการมองว่าที่เป็นได้ถึงขนาดนี้เพราะ “ดีล” ไม่สำเร็จหรือไม่
เรื่องนี้ทำให้สถานการณ์ของ “เพื่อไทย” ไม่สู้ดีนัก แน่นอนว่า “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” เองก็ต้องหนักใจไม่น้อย
ทำโมเมนตัมของเกมอาจจะเปลี่ยนอีกครั้ง “ภูมิใจไทย” หันกลับมาสู้อาจจะไม่ยอมถอยออกจากมหาดไทย และร่อนหนังสือให้ข้าราชการในสังกัดปกป้องสิทธิของผู้ที่จะถูกสอบ
คำสั่งเช่นนี้มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าคำสั่งนี้ไม่ได้มีนัยยะอื่นนอกจากปรามไม่ให้คนที่จะถูกสอบกรณีฮั้วเลือก สว. มอบข้อมูลให้ดีเอสไอ โดยบอกว่าจะมีการปกป้องเอง
แต่ก็เหมือนเดิมที่สังคมยังหนุนการทำงานของดีเอสไอ และมอง “มหาดไทย” เชิงลบ ก่อนที่เช้าวันศุกร์ “ดีเอสไอ” และ “กกต.” ก็ออกปฏิบัติการออกหมายเรียก สว. ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งมีรายงานว่าทั้งหมดล้วนเป็นเบอร์ใหญ่
นำโดย “มงคล สุระสัจจะ” ประธาน สว. ที่เป็นสายตรง นอกจากนี้ยังมี “อลงกต วรกี” ที่ถูกจับตาว่าเป็น สว. ตัวจี๊ดและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบิ๊กเนมของ “ภูมิใจไทย”
“โชคชัย กิตติธเนศวร” บุตรของวุฒิชัย กิตติธเนศวร อดีต สส.หลายสมัยของ จ. นครนายก จากภูมิใจไทย
“จิระศักดิ์ ชูความดี” อดีตข้าราชการกระทรวงทรัพย์ และได้รับเลือกมาจากระนอง ซึ่งเป็นพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทย
“พิบูลย์อัฑฒ์ หฤหรรษ์ปราการ” ก็เคยเป็นที่ปรึกษาของ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” แกนนำพรรค “ภูมิใจไทย”
ส่วนอีกสองคนคือ “วุฒิชาติ กัลยาณมิตร” อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด และผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย และคนสุดท้าย “พิศูจน์ รัตนวงศ์” เจ้าสัวการท่องเที่ยวจากเกาะช้าง
บอกเลยว่าแค่สัปดาห์เดียวของต้นเดือน พ.ค. ยังเลือดสาดนาดนี้ และไม่รู้ว่าทั้งสองคดี “ชั้น 14” และ “ฮั้ว สว.” คดีไหนจะจบก่อน และเส้นทางรักของทั้งสองพรรคจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่