เด้งฟ้าผ่า! 2 อธิบดีสีน้ำเงิน “เพื่อไทย” แข่งกับเวลาล้างบาง “ภูมิใจไทย”  

จากคนเคยรัก! “เพื่อไทย” เดินหน้าลบรอยเท้า “ภูมิใจไทย” หมดแล้วปาร์ตี้ช็อกมินต์ที่เคยหวานชื่น

คอลัมน์ : ตีลังกาเล่าข่าว โดย กรรณะ 

เพิ่งแยกทางกันมาไม่นาน วันนี้ “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” ทำเหมือนกับไม่เคยรู้จักกันและโกรธกันมาพันปีหมื่นชาติ  เหมือนกับคนไม่เคยยิ้มชื่นมื่นนั่งปาร์ตี้ช็อกมินต์ และที่สำคัญไม่เหมือนกับคนก่อนหน้าที่นั่งทำงานด้วยกัน ออกมติต่าง ๆ ด้วยกัน และรับผิดชอบร่วมกันทั้ง ๆ ที่ความจริงเป็นเช่นนั้น  

“ภูมิใจไทย” เดินหน้าจี้รัฐบาลหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกัญชา เรื่องคาสิโน เรื่องความสัมพันธ์กัมพูชา หรือความพยายามที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” และ “แพทองธาร” ได้ออกมา โต้กลับอย่างหนัก โดยบอกว่า “ภูมิใจไทย”  และถามในทำนองว่า  “ออกไปไม่นานลืมซะแล้วหรือ” โดยเป้าต้องการตีไปที่กระทรวงมหาดไทย ที่เคยอยู่ในความดูแลของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” 

แต่นี่คือการตอบโต้ออกหน้าสื่อ แต่ในภาคการทำงานนั้น “เพื่อไทย” เดินหน้าลบรอยเท้าของ “ภูมิใจไทย”  เพื่อวางรากฐานของตัวเอง แม้จะรู้ว่าโอกาสอยู่ไม่นานดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้น “เพื่อไทย” จึงไม่รอช้าที่จะทำ 

4 กระทรวงที่เคยอยู่ในมือของภูมิใจไทยจึงกระเทือนอย่างหนัก 

เริ่มที่สั่งชะลอโครงการเช่าแท็บเล็ต 2 หมื่นล้านของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เดิมเก้าอี้ “เสมา 1” เป็นของ “เพิ่มพูน ชิดชอบ”  

นอกจากนี้ยังสั่งชะลอ โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอน ซึ่งจะทำเป็นงบผูกพัน   7 ปี รวมงบประมาณ 9 พันล้านบาท โดยโครงการนี้เป็นของกระทรวงอุดมศึกษา ที่มี รมว. ชื่อ “ศุภมาศ อิศรภักดี”  

ตามมาด้วยการทลายเครือข่ายเรียกค่าหัวคิวใบอนุญาตทำงานต่างด้าว  ซึ่งเป็นส่วนของกระทรวงแรงงาน ที่ก่อนหน้านี้ ตำแหน่งที่ถูกเรียกขายนว่า “จับกัง 1” เป็นของ “พิพัฒน์ รัชชกิจประการ” เบอร์ใหญ่ของภูมิใจไทย  

แต่เป้าหมายที่ชัดที่สุด ยากที่สุด และต้องเร่งทำที่สุดคือ “มหาดไทย”  ว่ากันว่าตั้งแต่ยุคปี 2554 ที่มี “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” เป็น รมว. มหาดไทย กลุ่มที่ปัจจุบันรวมกันอยู่ในนาม “ภูมิใจไทย” ก็ไม่เคยห่างหายจากกระทรวงนี้  

ว่ากันว่า มีการเลี้ยงดูปูเสื่อหลายๆคนมาตั้งแต่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย จนตอนนี้มียศฐาบรรดาศักดิ์เป็น “บิ๊กคลองหลอด” 

สายสัมพันธ์การเมืองข้าราชการแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆจากการอยู่โยง ใครอยากมีตำแหน่ง “สายสีน้ำเงิน” ก็พร้อมเปิดทางให้หากเข้ามาร่วมทำงานกัน 

กระแสลมจากคลองหลอดพัดผ่านมาเป็นคำพูดว่า หากใครที่อยากเป็น “พ่อเมือง” แต่ที่ผ่านมาแล้วดูหมดหนทาง ก็ให้ลองเส้นทางนี้ดูก็จะมีโอกาสไม่น้อย  

หรือหากใครผ่านบุรีรัมย์มาโอกาสเติบโตในเส้นทางนี้ก็สดใสซาบซ่า  

ในอดีตที่ผ่านมาก็เป็นที่รู้กันว่า หากใครเป็นแกนนำรัฐบาลก็ล้วนแต่อยากได้กระทรวงนี้เพราะเท่ากับมีมือมีไม้เป็นข้าราชการมหาดไทยซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ ไปไหนมาไหน จะทำอะไรก็ง่าย  

ขณะที่แผลเก่าของ “ภูมิใจไทย” ก็ถูกชี้ว่ามีคนในกระทรวงนั่งทับเอาไว้ อย่างเรื่อง “ทีดินเขากระโดง” ซึ่งเป้าหมายของเพื่อไทยคือ ยึดที่กลับมาให้ได้ 

ไม่ใช่เพราะอยากได้อะไรมากมาย แต่เพราะทำให้เห็นว่า ไม่มีอำนาจของ “พรรคนี้” อีกต่อไป 

นอกจากนี้แบบฟ้าแล่บ หลังจาก “สหายอ้วน – ภูมิธรรม เวชยชัย”  มท.1” คนใหม่เข้ารับตำแหน่งเพียง 4 วันก็สั่งเด้งสองอธิบดี ที่เชื่อกันว่าเป็น “สายสีน้ำเงิน” อย่าง “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” จากอธิบดีกรมการปกครอง ไปเป็น เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง และ “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์” จาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ไปเป็นผู้ตรวจราชการ   

ที่ทั้งสองถูกมองว่าเป็น “สีน้ำเงิน” เพราะต่างเติบโตจาก “บุรีรัมย์” อย่า “ไชยวัฒน์” เป็นทั้ง รองฯ และเป็น ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ก่อนขึ้นชั้น “อธิบดีกรมการปกครอง” หัวหน้าของข้าราชการฝ่ายปกครองทั้งประเทศ 

แถมที่ผ่านมาตอนสอบเรื่องฮั้ว สว. “ไชยวัฒน์” ก็ทำหนังสือถึงอธิบดีดีเอสไอ ทักท้วง ขอให้ทำตามกฎหมาย หลังมีข่าวว่า ดีเอสไอ ลงพื้นที่อำนาจเจริญ เพื่อสืบคดีฮั้วส.ว. 

แถมยังเป็น 1 ใน 4 เสียงข้างน้อย ในที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ที่ไม่เห็นด้วยให้รับคดีฮั้วส.ว.เป็นคดีพิเศษ.  

ส่วน “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์” ก็ผ่านงานปลัดจังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนถูกโยกเป็นรองฯ และ เป็น  ผู้ว่าฯบึงกาฬ ก่อนจะกลับมาเป็น ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ และขึ้นชั้นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 

คำถามคือทำไมต้องรีบเด้งขนาดนั้น คำตอบง่ายๆคือเวลาเหลือไม่มาก และหากจะทำให้ไม่มีคนเกียร์ว่างก็ต้องใช้อำนาจอย่างรุนแรงและทันที 

แน่นอนการตัดสินใจแบบนี้ช็อกคนในกระทรวงไม่น้อย และแม้จะมีแรงต้าน แต่ทางเลือกที่มีอยู่ไม่มากทำให้ “เพื่อไทย” ต้องทำ ทั้งเพื่อจัดการถอนรากถอนโคน “ภูมิใจไทย” และปูทางสู่การเลือกตั้ง 

เป้าหมายครั้งนี้ไม่ได้อยู่แค่ “อธิบดี” กรมการปกครอง แต่เป้าหมายอยู่ที่ “นายอำเภอทั่วประเทศ”  ซึ่งการโยกย้ายเป็นอำนาจของอธิบดีที่ทำได้เลยไม่ต้องผ่านรัฐมนตรี 

ถ้าเทียบเป็นกองทัพ  อธิบดีฯ ก็เหมือน ผบ.เหล่าทัพ ที่ต้องตั้ง ผบ.พัน หรือผู้บัญชาการกองพัน  

ซึ่งเชิงอำนาจคนมีอำนาจคือ ผบ. แต่คนที่คุมกำลังคือ “ผบ.พันฯ”  ซึ่งสำหรับพลเรือนก็คือ “นายอำเภอ” นั่นเอง เพราะนายอำเภอนั้นใกล้ชิดกับประชาชนและมีบทบาทในพื้นที่ทั้งการทำงานและการส่งเสริมนโยบายไมน้อย 

นี่เองคือการเตรียมจัดกำลัง เพื่อรอรับการเลือกตั้ง ถ้าไม่ล้างคนของ “ภูมิใจไทย”  เลือกตั้งต่อไปก็จะเหนื่อย และยิ่งเวลาของรัฐบาลเหลือน้อย ไม่ทำวันนี้จะทำวันไหน  

นอกจากนี้ยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ที่ผันจากงบดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งคนที่จะทำไปใช้คือท้องถิ่น โดยมีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเป็นมือไม้หลัก 

และนี่ก็คืออีกหนึ่งคำตอบว่าทำไม “อธิบดีส่งเสริมปกครองท้องถิ่น” ถึงเป็นเป้าหมายคู่กับอธิบดีกรมการปกครอง 

และไม่ต้องห่วงว่าจากนี้หากเกมไม่พลิก “สึนามิ” ลูกแล้วลูกเล่าจะถาโถมเข้าใส่กระทรวงแห่งนี้ 

ถ้าให้อ่านใจ “ภูมิธรรม เวชยชัย” สั่งเด้ง 4 วันหลังจากรับตำแหน่งยังดูช้าไปเสียด้วยซ้ำ เพราะสถานการณ์ของรัฐบาลขณะนี้ทุกวินาทีมีความหมาย