ทางเดิน “เพื่อไทย” ไม่เหลือกลีบกุหลาบ

จับตารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ! กับฉากทรรศน์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น แต่ในทางทฤษฎีนั้นเกิดได้ กับการล้มรัฐบาล “ด้วยวิธีพิเศษ”

ตีลังกาเล่าข่าว โดย กรรณะ

แม้ “รัฐบาลแพทองธาร” จะผ่านวิกฤตคลิปเสียงไปได้ และได้อยู่ต่อในฐานะรัฐบาล จากการทำงานหนักของทีมการเมืองที่แก้เกมแบบละเอียดทุกเม็ด และพรรคร่วมฯ ยกเว้นภูมิใจไทยก็กอดคอกันเดินต่อแม้จะขัดกับเสียงเรียกร้องของกองเชียร์แต่ละพรรคก็ตาม

วันนี้จึงค่อนข้างชัดว่าหลังปรับ ครม. รัฐบาลจะมีเสียงอยู่ประมาณ 261 เสียง ไม่เรียกปริ่มน้ำก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร และทุกพรรค ทุกกลุ่ม ทุกก๊วน ก็ล้วนแล้วแต่มีค่าต่อการจะอยู่จะไปของรัฐบาลทั้งสิ้น

ทำให้จากนี้จะเป็นเกมบริหารตัวเลขในมือไม่ให้ตกหล่นสูญหายแม้แต่คะแนนเดียว และต้องใช้ทุกวิถีทาง

และทุกการโหวต หรือการทำอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่มีราคาต้องจ่ายทั้งสิ้น  แต่ไม่แน่ว่าสิ่งที่ต้องจ่ายจะเป็นอะไร 

ดูอย่างพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ที่เป็นพรรคอกแตกแบ่งเป็นสองก๊กสองเหล่า ยังจะได้รัฐมนตรี 5 ตำแหน่ง แถมทำท่าจะได้ว่าการถึง 4 คนในพรรคเดียว หลังกลุ่ม “เสี่ยเฮ้ง – สุชาติ ชมกลิ่น” ออกมาโวยวายว่าพวกเาคนเยอะกว่าแต่ทำไมได้รัฐมนตรีว่าการน้อยกว่า

ไม่รวมถึงในพรรคเพื่อไทยที่ก็ ฮึ่มๆ บอกว่าอย่าเห็นเราเป็นลูกหม้อจะทำอะไรก็ได้ เพราะเมื่อต่อสู้ด้วยกันมารางวัลแต่คนช่างฝันก็ต้องมีให้กันบ้าง

ก่อนจะดูเกมในสภาที่จากนี้จะเร้าใจ เรามาดูนอกสภากันก่อน ที่ในวันเสาร์นี้จะมีกลุ่มม็อบขับไล่นายกฯรัฐมนตรี

หลายคนปรามาสว่า ไปไม่รอด ปลุกไม่ขึ้น เพราะคนที่มาก็แค่คนหน้าเก่า หลายคนแก่ชราลงอย่างเห็นได้ชัด

แต่เอาเข้าจริงวัตถุประสงค์ของการจัดม็อบในครั้งนี้ไม่ได้หวังจะจุดติดในทีเดียว  แต่หากเราดูม็อบที่ผ่านมาทั้งปี 2549 หรือ 2557 ก็ไม่ได้ใหญ่โตขึ้นในคราวเดียว หากแต่ต้องค่อยๆเลี้ยงให้โตรอวันสถานการณ์สุกงอม

และที่สำคัญคือ เป้าหมายที่แท้จริงของม็อบคือไม่ใช่การล้มรัฐบาล แต่เป็นการสร้างความชอบธรรมให้เกิดการกระทำบางอย่างขึ้นมา  ซึ่งของแบบนี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น

อีกด้านที่ดูเหมือนจะเป็นระเบิดเวลาของรัฐบาลก็คือการใช้กระบวนการทางกฎหมายที่ถูกวางเอาไว้ในรัฐธรรมนูญเล่นงาน

หากใครยังคิดว่าทำอะไรไม่ได้ ก็ให้ดูเรื่อง “จริยธรรม” ที่เคยทำ “เศรษฐา ทวีสิน” ตกเก้าอี้มาแล้ว เพราะลำพังหากจับเรื่องอื่นมาเล่น “คลิปเสียง”  อาจจะไม่เข้าข่ายง่ายๆ

แต่คำว่า “จริยธรรม”  นั้นเป็นคำครอบจักรวาลที่สามารถนำมาปรับใช้กับอะไรก็ได้ หรือกับกรณีไหนก็ได้ไม่เว้นแม้แต่กรณีนี้หากต้องการจะทำ

ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องนี้เอาไว้ สิ่งที่ต้องลุ้นก็คือจะมีคำสั่ง “หยุด” ปฏิบัติหน้าที่ตามมาหรือไม่ และหากมีคำสั่งเช่นว่า ก็เท่ากับรัฐบาลจะอยูู่ในภาวะสูญญากาศ ไม่มีผู้นำตัวจริง นั่นเองที่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งเปราะบาง

แน่นอนว่าหลายคนไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น และแม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ยุบสภาแต่รัฐบาลก็ยังยืนยันเดินหน้า

ทีนี้กลับมาที่สภา พรรคภูมิใจไทยกำลังเรียกร้องให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี

เรียกได้ว่าเป็นความแปลกประหลาดไม่น้อย เพราะหนึ่งคือเพิ่งมาเป็นฝ่ายค้าน และสองคือเพิ่งจะมีการอภิปรายฯนายกฯไปเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งหากมีการเปิดอภิปรายจริงก็จะเท่ากับว่าปีนี้นายกฯ โดนอภิปรายสองครั้ง แม้จะทำได้ เพราะการนับปีปกติกับปีสมัยประชุมจะเริ่มไม่เหมือนกัน กล่าวคือ ปีปกติอาจจะเริ่ม 1 มกราคม แต่ปีสมัยประชุมจะเริ่มวันที่ 3 ก.ค.68

แต่สิ่งที่ผิดประหลาด คือ หากมีการอภิปรายจริงในสมัยประชุมนี้ก็จะมีทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจและการพิจารณางบประมาณ เหมือนรัฐบาลถูกซักฟอกสองครั้งในสมัยเดียวหรือในห้วงเวลาแค่ 3-4 เดือน

เหมือนที่เราบอกไว้ข้างต้นว่า สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีนักสำหรับรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เพราะสิ่งที่ต้องจ่ายจะมีบ่อยเกินไป และราคาอาจจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าการบริหารยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ

แต่มีคนมองฉากทรรศน์ที่เลวร้ายเอาไว้ ซึ่งเราก็ไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้น แต่ในทางทฤษฎีนั้นเกิดได้ กับการล้มรัฐบาลด้วยวิธีพิเศษ  และต้องอาศัยองคาพยพที่ถูกตระเตรียมเอาไว้

เริ่มที่ การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากทำได้จริง ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกฯไม่สามารถยุบสภาได้จนกว่าการไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้น เป็นการปิดล็อกคืนอำนาจหรือปลดวิกฤตผ่านการเลือกตั้ง

จากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งให้นายกฯยุติปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเกิดสูญญากาศทางการเมือง และในห้วงเดียวกันนั้นเองก็ใช้ม็อบที่ตั้งขึ้นสร้างความชอบธรรมและปิดประตูการปลดล็อกทุกทาง 

และที่สุดอำนาจพิเศษก็จะก้าวเข้ามา

เรื่องสูญญากาศทางการเมือง โดยใช้องค์กรอิสระ และ ม็อบ ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมาแล้วทั้งปี 2549 และปี 2557

ถึงตอนนี้เราก็เชื่อว่า “ฉากทรรศน์” นี้จะไม่เกิด เพราะประวัติศาสตร์คงบอกไว้แล้วว่าเป็นอย่างไรและเราก็น่าจะเรียนรู้จากความผิดพลาด

แต่เมื่อเคยเกิดขึ้นจริง หลายคนก็อดหวั่นใจไม่ได้ ว่ารัฐบาลอาจกำลังเดินเข้าสู่ห้องปิดตายเหมือนที่เคยผ่านๆ มา

เพราะจากนี้ทุกเส้นทางของรัฐบาลล้วนแล้วแต่เดินอยู่บนเส้นด้ายทั้งสิ้น และไม่มีแม้แต่กลีบกุหลาบที่ตกหล่นไว้แม้แต่กลีบเดียว  ว่ากันว่าหากผ่านไปได้ ไม่เกินต้นปีหน้าก็ยุบสภาแล้ว เพราะลากไปกว่านี้มีแต่จะเจ็บช้ำ