นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทย อาจตกหลุมอากาศ ยาวนานถึง 6 เดือน จึงจำเป็นต้องทำมาตรการองรับความผันผวน ซึ่งขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากนโยบายภาษีของทรัมป์ ซึ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกประเทศ แต่เราเชื่อว่า โลกจะเข้าสู่ภาวะที่อยู่ร่วมกันได้ แต่ในช่วงแรกจะสร้างเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะที่ตกหลุมอากาศชั่วคราว และยังต้องประเมินต่อไปในระยะข้างหน้า”
ทั้งนี้ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ ดังนั้น แนวทางแก้ไข คือ จะต้องทำให้การค้าเข้าสู่จุดสมดุลให้มากที่สุด โดยไทยจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะต้องส่งออกไปให้มากขึ้นด้วย โดยสินค้าที่เราต้องการจากสหรัฐ คือ สินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด และ ปลา เพื่อนำเข้ามาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์เพื่อส่งออก นอกจากนี้ เรายังต้องการสินค้าพลังงานจากสหรัฐเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำเข้าสินค้าจากสหรัฐต้องอยู่ในระดับแข่งขันได้
นอกจากนี้ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใน รัฐบาลต้องเร่งรัดให้เกิดการลงทุน โดยการลงทุนจากต่างชาตินั้น จะต้องเป็นการลงทุนที่เทคโนโลยีสูง และสร้างซัพพลายเชนของคนไทยเข้าร่วมด้วย หมายความว่า เราจะเลือกการลงทุนจากต่างชาติให้มากขึ้น
ส่วนการลงทุนของภาครัฐนั้น จะต้องใช้เงินมาลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ซึ่งขณะนี้ กระทรวงการคลังกำลังหยิบมาดู เพื่อพิจารณาโครงการลงทุนตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ในส่วนของเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์นั้น ยังอยู่ในแนวคิดของรัฐบาลที่จะลงทุน เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
“แนวทางที่เรากำลังดำเนินการอยู่นี้ ผมยังเชื่อว่า จีดีพีของไทยจะสามารถขยายตัวได้เกินกว่า 3% ในปีนี้ ถือว่า อยู่ในเส้นทางเศรษฐกิจที่โตต่อเนื่อง แม้ว่า ช่วงนี้อาจจะสะดุดไปบ้าง แต่เชื่อว่า โลกจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเราไม่สามาถปรับความเข้าใจกันได้”
ทั้งนี้คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้จะสามารถขยายตัวมากกว่า 2.5% อาจใกล้ 3% แต่พอมีนโยบายภาษีของทรัมป์ ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกสะดุด และถ้ายังไม่มีอะไรชัดเจน คาดว่าไตรมาสามของปีนี้ เราจะเห็นเศรษฐกิจลดลงทั้งโลก
ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจผันผวน เราจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับ โดยอาจจำเป็นต้องทบทวนงบลงทุนของรัฐบาลเพื่อนำมาใช้ในโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน
ส่วนโครงการคุณสู้เราช่วย ซึ่งเป็นโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนว่า กระทรวงการคลัง เตรียมจะเสนอ ครม.ภายในเดือนมิ.ย.หรือเดือนก.ค.นี้เพื่อปรับปรุงตัวโครงการ โดยจะขยายวงเงินหนี้รายย่อย ที่สามารถจ่ายชำระหนี้ 10% ของมูลหนี้ แล้วที่เหลือสถาบันการเงินจะยกหนี้ให้ จากเดิม ลูกหนี้ที่จะใช้มาตรการนี้จะต้องมีหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท เป็น ไม่เกิน 10,000 บาท
นายพิชัย กล่าวว่า ต้องขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงมา 0.25% แต่ขอให้การปรับลดอกเบี้ยลงครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการลงทุน ในส่วนของตลาดทุนนั้น แม้เป็นจุดที่อ่อนไหว แต่การลดลงของดัชนีหุ้นไทยยังน้อยกว่าเพื่อนบ้าน