กรมชลฯ ปรับการระบายน้ำ รองรับน้ำเหนือ

กรมชลประทาน ปรับการระบายน้ำเขื่อนป่าสัก และเขื่อนเจ้าพระยา รองรับน้ำเหนือที่เพิ่มขึ้น

จากปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลดลงต่อเนื่อง จึงปรับลดการระบายน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ และปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลอ่าวไทย รองรับปริมาณน้ำเหนือที่จะไหลหลากลงมาอีก หลังมีฝนตกชุกในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะโฆษกกรมชลประทาน บอกว่า จากฝนที่ตกชุกสะสมในพื้นที่ตอนบน บริเวณจังหวัดลำปาง เเพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ส่งผลให้ มีปริมาณน้ำท่าไหลลงสู่แม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ก่อนปริมาณน้ำนี้จะไหลไปรวมกับน้ำที่มาจากแม่น้ำสะแกกรัง และลำน้ำสาขา และไหลลงสู่บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา

สำนักงานชลประทานที่ 12 ได้ทยอยปรับการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จากเดิมอัตรา 1,649 ลบ.ม./วินาที เป็นอัตรา 1,660 ลบ.ม./วินาที โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ เวลา 16.00 น. และจะทยอยปรับการระบายน้ำอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเกณฑ์ 1,700 ลบ.ม./วินาที เวลาประมาณ 09.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (31 ส.ค. 65)

ส่งผลให้ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อชุมชนบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ ดังนี้

คลองโผงเผง จ.อ่างทอง

คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา

ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย)

ด้านเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี ปัจจุบันน้ำไหลลงอ่างฯ มีแนวโน้มลดลง โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์ ได้ปรับลดการระบายน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างฯ ตามเกณฑ์ที่เหมาะสมในอัตรา 300 ลบ.ม./วินาที (จากเดิม 430 ลบ.ม./วินาที)

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ทยอยปรับการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำฝน-น้ำท่า อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลอ่าวไทย ลดผลกระทบต่อประชาชนให้มากที่สุด จึงขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์น้ำในระยะนี้อย่างใกล้ชิด จนกว่าจะสิ้นสุดฤดูฝน