ระวัง! รัฐฯ เตือน “โรคติดเชื้อไวรัสซิกา” กำลังระบาดหลายเเห่งในไทย 

สัตว์ตัวนี้คือพาหะนำโรค! รัฐฯ เตือนภัย อย่าให้ “ยุงลายกัด” อาจเสี่ยงเป็น “โรคติดเชื้อไวรัสซิกา” ที่กำลังระบาดหลายพื้นที่ในไทย

ยุงลาย ตัวพาหะนำโรคหลายโรคสู่คน!  

เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 ที่ผ่านมา เว็บไซต์รัฐบาล โดย นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาประกาศเตือนภัยประชาชนเกี่ยวกับ โรคที่มี “ยุงลาย” เป็นพาหะนำโรค นั่นก็คือ “เชื้อไวรัสซิกา” ซึ่งย้ำว่าต้องระวังเป็นพิเศษเพราะสามารถติดจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ด้วยซึ่งมีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า… 

รัฐบาลห่วงใยต่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาที่กำลังระบาดในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยโรคนี้เองมี ยุงลาย เป็นพาหะนำโรคเช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออก และไข้ปวดข้อยุงลาย ที่สำคัญสามารถติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความผิดปกติร้ายแรง เช่น ศีรษะเล็ก การได้ยินผิดปกติ หรือพัฒนาการล่าช้า เป็นต้น หญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากมีอาการไข้ ผื่นแดง เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อ่อนเพลีย หรือปวดศีรษะ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง โดยเฉพาะยาลดไข้ในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนค แอสไพริน หรือยาชุดต่าง ๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที 

ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกา  ระหว่างวันที่ 7 ม.ค. – 5 ก.ค. 68 พบผู้ป่วยสะสมจำนวน 7 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต แยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้   

จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 2 ราย  

จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 2 ราย  

จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วยสะสม จำนวน 2 ราย 

จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 1 ราย  

กลุ่มอายุที่ป่วยสูงสุดคือ กลุ่มอายุ 5 – 9 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุรองลงมาคือ กลุ่มอายุ 20 – 29 ปี และกลุ่มอายุ 40 – 49 ปี ตามลำดับ ก็ยังคงต้องย้ำเตือนมากๆสำหรับหญิงตั้งครรภ์ต้องหมั่นดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด หากติดเชื้อไวรัสซิกา ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด สำหรับชุมชนขอให้ดำเนินมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ 1. เก็บบ้าน ให้สะอาด ไม่ให้ยุงเกาะพัก 2. เก็บขยะ ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง 3. เก็บน้ำ ปิดภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิดไม่ให้ยุงวางไข่  

หากมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์ในทันทีค่ะ อย่าปล่อยไว้นะคะมันอันตรายกว่าที่คิดไว้ อีจันเป็นห่วงสุขภาพทุกคนค่ะ  

ที่มา เว็บไซต์รัฐบาล https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/98511