สงครามอิสราเอล-อิหร่าน กระทบราคาน้ำมัน-ค่าขนส่งพุ่ง ท้าทายรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง 2

สงครามอิสราเอล-อิหร่าน ส่งผลกระทบราคาน้ำมัน-ค่าขนส่งพุ่ง อีกหนึ่งปัจจัยเศรษฐกิจที่ท้าทายรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง 2

คอลัมน์ : ห้อยหัววิเคราะห์ข่าว

รัฐบาลไทยควรจัดเตรียมแผนรับมืออย่างเร่งด่วนกรณีรัฐสภาอิหร่านอนุมัติปิดช่องแคบฮอร์มุช ที่เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของโลก ซึ่งอาจกระทบประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในเอเชีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันและค่าขนส่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

โดยรัฐสภาอิหร่านได้จัดการประชุมฉุกเฉินและมีมติเสนอให้อายะตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านสั่งปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อเป็นการตอบโต้หลังจากที่สหรัฐฯได้เปิดปฏิบัติการโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของกรุงเตหะรานเมื่อค่ำคืนวันเสาร์ (21 มิถุนายน 2568) อย่างไรก็ตาม คำสั่งสุดท้ายในการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะต้องผ่านมติความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่านก่อนที่จะประกาศใช้ในการปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ

สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ที่มีสหรัฐฯเข้าร่วมวงความขัดแย้งนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศที่ยังต้องอาศัยน้ำมันเป็นปัจจัยและต้นทุนสำคัญในการผลิตและการขนส่ง รวมถึงประเทศไทย อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ นอกเหนือจากอีก 2 ปัจจัยที่สำคัญได้แก่ นโยบายภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งกลายเป็นปัญหาการเมืองที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทย

สงครามระหว่าง 2 ประเทศในตะวันออกกลางอาจจะนอกเหนือการควบคุมและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมขาติและน้ำมัน เมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดต่างๆ จะพบว่าทั้งสองประเทศมีศักยภาพทางการทหารในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยกันทั้งคู่ จึงอาจจะเป็นไปได้ว่าสงครามครั้งนี้จะยืดเยื้อและส่งผลกระทบเป็นโดมิโน่ต่อเศรษฐกิจโลก

โดยอิหร่านที่ได้ควบคุมช่องแคบฮอร์มุซและได้ข่มขู่ที่จะปิดช่องแคบนี้ อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อกันขนส่งและอุปทานน้ำมันในตลาดโลก ทั้งนี้ ฮอร์มุซเป็นช่องแคบที่อยู่ระหว่างประเทศอิหร่านกับโอมาน เชื่อมกับอ่าวเปอร์เซีย อ่าวโอมาน และทะเลอาหรับ โดยฮอร์มุซถือเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากประเทศตะวันออกกลางที่สำคัญที่สุด เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีพื้นที่เป็น 20% ของเส้นทางการเดินเรือของโลก การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะมีผลทำให้อุปทานน้ำมันที่มาจากอ่าวตะวันออกกลางอาจหยุดชะงัก ปัจจัยดังกล่าวยังอาจมีผลให้เศรษฐกิจโลกเกิดสภาวะเงินเฟ้ออันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันและค่าขนส่งที่พุ่งสูงขึ้น นำไปสู่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ยังคงต้องนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นปัจจัยหลักในอุตสาหกรรมการผลิตและการเดินทาง รวมถึงประเทศไทยที่ถือเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่จากอิหร่าน โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและค่าขนส่งจะแพงขึ้น ดังนั้น รัฐบาลควรเตรียมการในประเด็นดังกล่าวอย่างรีบด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและประชาชนโดยรวม โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ภายในประเทศที่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

นอกจากนี้ สมาคมค้าทองคำยังได้เตือนผู้ประกอบการค้าทองคำให้จับตาดูสถานการณ์ราคาทองคำในปีนี้ที่มีความผันผวนสูงมาก โดยตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ราคาทองคำมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงบ่อยครั้ง ซึ่งผู้ประกอบการต้องอัพเดตราคาอยู่ตลอดเวลา นอกจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านแล้ว ปัญหาด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และความผันผวนของค่าเงินบาท ล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้ผู้ประกอบการการค้าทองคำต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยราคาทองคำโลกอาจพุ่งขึ้นไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยเอานซ์ภายในสิ้นปีนี้ ในขณะที่ราคาทองคำได้ขึ้นไปแล้วกว่า 30% ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากยังมีแรงซื้ออย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อนำไปเป็นทุนสำรองเพื่อกระจายความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์และสินทรัพย์ประเภทอื่น รวมถึงความต้องการในการซื้อทองคำโดยสถาบันการเงิน กองทุน และสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงิน

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังได้เปิดเผยว่าสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ได้ยกระดับความรุนแรงมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่จะเดินทางเข้าไทยในปี 2568 นี้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายน ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 3 ของปี 2568 นี้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เกิดการสู้รบโดยตรง ส่งผลให้ไตรมาส 3 ของปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอลอาจลดลงถึง 29% ซึ่งในกรณีที่ข้อพิพาทระหว่างอิสราเอลและอิหร่านมีการฟื้นตัวช้าและไม่สามารถเจรจายุติการสู้รบ คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบรุนแรงประมาณ 6 เดือนตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน และกลับมาฟื้นตัวตามแนวโน้มการเดินทางปกติในเดือนธันวาคม 2568 โดยคาดว่าในภาพรวมทั้งปีจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 19% หรือมีจำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอลประมาณ 335,000 คน และสูญเสียนักท่องเที่ยวประมาณ 92,000 คน จากแนวโน้มเดิมที่คาดว่าจะมีการเติบโตถึง 52% หรือคิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 427,000 คน เปรียบเทียบกับปี 2567

สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาถือเป็นอีก 2 ปัจจัยหลักที่ซ้ำเติมความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่สภาวะถดถอย และมีแนวโน้มในการขยายตัวต่ำในช่วง 2 ปีข้างหน้า นอกเหนือไปจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ แผลเป็นทางเศรษฐกิจในภาคครัวเรือน และข้อจำกัดด้านนโยบายการคลัง ที่ทำให้ครึ่งปีหลังของปีนี้ ประเทศไทยอาจเห็นเศรษฐกิจโตเฉลี่ยต่ำกว่า 1% และเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิคหรือ Technical Recession อย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการเจริญเติบโตเพียงแค่ 1.5% ในปีนี้ และ 1.4% ในปี 2569

ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี