เหตุปะทะเดือด “กัมพูชา” รัฐบาลไทย ไม่ว่าอยู่ตรงไหนก็ผิดที่ผิดทาง

จากนี้หากไม่มีอะไรพลิกผัน เชื่อว่าการปะทะจะค่อยๆ ซาลง ลองมาเช็กดูว่าหลังจบการปะทะที่เรียกว่าดุเดือดที่สุดของไทยนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ใครได้หรือใครเสียอะไรบ้าง

ตีลังกาเล่าข่าว โดย กรรณะ

แม้จะทุลักทุเล แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนเดินหน้าสู่การเจรจา  

ก่อนถึงเส้นตายหยุดยิง ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นต้องบอกว่า “ซัดกันให้เต็มที่” สองฝ่ายจัดเต็ม เพราะเส้นตายการหยุดยิงหมายถึง ใครอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น  ต่างฝ่ายต่างต้องการยึดครองจุดยุทธศาสตร์ให้ได้

การปะทะอย่างหนักหน่วงเกิดขึ้นเพื่อชิงพื้นที่ “ตาเมือนธม – ตาควาย – ภูมะเขือ – ช่องอานม้า” หนักยิ่งว่าที่ผ่านๆมา เครื่องบินขับไล่บินทิ้งระเบิดเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า เพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้น

เมื่อถึงเส้นตาย และรุ่งเช้าทุกคนหวังจะเห็นการหยุดยิง แต่ในความเป็นจริงคือ ก็ยังมีเสียงปืนดังขึ้นประปราย แม้จะไม่หนักหน่วงเหมือนวันแรกๆและเหมือนคืนที่ผ่านมา

และการประชุมของทหารในพื้นที่คนก็จับตาดูว่าจะล่มหรือไม่ล่ม ซึ่งที่สุดทหารที่ดูแลพื้นที่ของสองฝั่งก็ได้เจอกันแล้ว และผลการหารือก็เป็นไปได้ด้วยดีโดยมีความเห็นชอบที่จะ หยุดยิง

รวมถึงห้ามทำอันตราย ต่อประชาชน  ให้หยุดเพิ่มเติมกำลัง  ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง  และอำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต รวมถึงการจัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน

ที่สำคัญคือรอหารหารืออีกครั้งตามผลการประชุม GBC  ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 หรือในสัปดาห์หน้า

แม้ช่วงเช้าของวันที่ 29 ก.ค. จะมีการยิงกันบ้าง แต่ก็มีการร้องไปยังคณะผู้ตรวจสอบที่จะตั้งขึ้นโดยอาเซียน

หากว่ากันตามจริงแล้วนี่ไม่ใช่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย และน่าจะเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศเล็งเห็นผล เพราะการที่อยู่ดีๆระดับพื้นที่ที่รบกันเอาเป็นเอาตายมาห้าวันจู่ๆจะให้หยุดเลยเรียกง่ายๆก็คือ “อารมณ์ค้าง” เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็สูญเสียกันไปไม่น้อย การที่ไปอุด ไปปิดกั้นเลย รังแต่จะทำให้ระเบิดและแก้ไขปัญหาไม่ได้เสียมากกว่า

จริงอยู่ที่ผู้นำเองก็อาจจะยังไม่อยากจับมือคืนดี แต่เมื่อสองมหาอำนาจอย่าง “จีน” และ “สหรัฐฯ” เปิดหน้าเล่นเอง งานนี้ ตัวเล็กๆอย่างสองประเทศจะดึงดันต่อก็รังแต่จะทำให้เรื่องราวเลวร้ายลงเรื่อยๆ  สู้อาศัยจังหวะนี้หาทางลงแบบสวยๆ และเปิดการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ดูจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด

และหากไม่ยอม เราก็อาจถูกเพิ่มแรงกดดันจากสองยักษ์ใหญ่ของโลก แน่นอนว่าเราจะถูกทิ้งให้รบกันเอง โดยที่เศรษฐกิจพังพินาศ ดังนั้นนาทีนี้ไม่อยากยอมก็ต้องยอม  เพราะโลกนี้ไม่ได้มีเพียงมิติเรื่องเขตแดน หรือความมั่นคงทางการทหารเพียงอย่างเดียวหากแต่มีมิติเรื่องการค้าขาย การกินอยู่ของประชาชน   ที่สุดแล้วศักดิ์ศรี หรือดินแดนจะมีประโยชน์อะไรหากคนทั้งสองประเทศต้องล้มตายและอดอยาก สู้ถอยกลับมายืนที่เดิมแล้วค่อยๆหาทางแก้กันไม่ดีกว่าหรือ

จากนี้หากไม่มีอะไรพลิกผัน ก็เชื่อว่าการปะทะจะค่อยๆซาลง หากเกิดเรื่องกระทบกระทั่งก็จะไปฟ้องตัวกลางที่เป็นเหมือนรูระบายน้ำเดือด ที่ไม่ต้องแก้ปัญหาด้วยกันเองอีกต่อไป

และก็จะเข้าสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ อาจมีการให้ทูตกลับไปประจำการ และค่อยๆเปิดด่าน ปรับเวลา ก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

แน่นอนว่าขั้นตอนเหล่านี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นชั่วพริบตา หากแต่ต้องใช้เวลา แต่สิ่งที่จะติดค้างอยู่คือความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจจากคนทั้งสองประเทศที่ถูก “การข่าว” ของแต่ละฝั่งชักจูงโน้มน้าวจนอาจจะยากที่จะประสาน แต่อย่างหนึ่งก็ต้องนึกไว้ด้วยว่า บ้านเราเวลาย้ายหนีเพื่อนบ้านยังยาก แต่นี่ประเทศเพื่อนบ้านต่อให้ไม่อยากอยู่ก็ต้องอยู่กันไปอย่างนี้

ทีนี้เราลองมาเช็กดูว่าหลังจบการปะทะที่เรียกว่าดุเดือดที่สุดของไทยนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มาดูว่าใครได้หรือใครเสียอะไรบ้าง

มาดูว่าใครได้ประโยชน์  แน่นอนว่าคนที่ได้ประโยชน์กลุ่มแรกคือ “สองพ่อลูกผู้นำกัมพูชา” ที่สถาปนาความน่าเชื่อถือกลับมาหลังจากก่อนหน้านี้ความนิยมตกต่ำ จากสภาวะเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ  ข้อกล่าวหาที่ว่าด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของสแกมเมอร์ถูกลืมไปเพราะชาตินิยมที่สร้างศัตรูร่วมขึ้นมา

กลุ่มต่อมาที่ได้ประโยชน์คือ “ทหารไทย”  ที่ก่อนหน้านี้โดนตั้งคำถามอย่าง “ทหารมีไว้ทำไม” แม้คำถามนี้จะยังไม่หายไป

แต่ความเกลียดชังที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ได้ลดทอนลงและสถาบันทหารได้ก้าวขึ้นมาอยู่แนวหน้าของความเชื่อมั่นอีกครั้ง

ถือว่าเป็นการสถาปนาซ้ำที่อยู่ทางสังคมและการเมืองของสถาบันแห่งนี้  แน่นอนว่าจากวีรกรรมที่กล้าหาญของแนวหน้าที่ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถและทำให้เห็นว่าเราเกรียงไกรขนาดไหน

นอกจากนี้สายตาของโลกที่มองศักยภาพของทหารไทย ก็เปลี่ยนไปจากม้านอกสายตาจะกลายเป็นกลุ่มกองกำลังที่มีศักยภาพไม่แพ้นาโต้ และแน่นอนเมื่อกองกำลังมีศักยภาพใครก็อยากดึงมาเป็นพวกในยามโลกมีความตึงเครียด

นอกจากนี้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็สามารถประกาศสถานะความเป็นมหาอำนาจพาสองประเทศที่ขัดแย้งให้ยุติการปะทะช่วงชิงความเป็นผู้นำโลก ขณะที่จีนก็ไม่ตกขบวนในฐานะพี่ใหญ่ย่านนี้

ดีไม่ดีหากทั้งสองประเทศไม่ยอมลง เราทั้งคู่อาจกลายเป็นหมากเชิดในสงครามตัวแทน

นอกจากนี้ “มาเลเซีย” ก็ยังทำหน้าที่และได้รับความชื่นชมในฐานะประธานอาเซียน  พวกเขากลายมาเป็นประเทศแนวหน้าเช่นเดียวกับที่สิงคโปร์เป็น  

มาถึงใครเสีย  ต้องบอกว่า “รัฐบาลเพื่อไทย” เสีย ทั้งเสียเหลี่ยม เสียเกม เสียการนำ  พวกเขาดูจะเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางไปเสียทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การหลงกลจนถูกแอบอัดคลิปของ “อุ๊งอิ๊ง”  และการทำให้สภาพความเชื่อมั่นไม่ตกอยู่กับรัฐบาลอีกต่อไป การสื่อสารทางการเมืองที่ล้มเหลว  จะทำอะไรก็ช้าไปเสียทั้งหมด ถึงขนาดที่เจรจาหยุดยิงได้ ก็ยังไม่ได้รับความเชื่อมั่น พร้อมด้วยข้อหาเอาอะไรไปแลกมา

แม้กองเชียร์จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ต้องพูดความจริงว่าพวกเขาหมดสภาพแล้วและรอเพียง “วัน ว. เวลา น.”  ที่จะลงจากอำนาจเท่านั้น

แต่ถ้าหากนับใครเสียมากที่สุดก็ไม่พ้นประชาชนของทั้งสองฝั่ง ที่ทั้งเจ็บ และ ตาย รวมถึงพลัดที่นาคาที่อยู่ ต้องระเหเร่ร่อนออกไปอยู่ศูนย์อพยพ เซ่นสังเวยให้กับเรื่องอะไรที่ถึงตอนนี้พวกเขาเองก็อาจจะยังไม่แน่ใจ

ต่อให้เป็นทหารที่เป็นผู้เสียชีวิตก็คงจะดีกว่าถ้าพวกเขามีชีวิตอยู่และรับใช้ชาติในทางอื่นเช่นช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า คนที่เสียชีวิต มุมหนึ่งเขาอาจจะเป็นทหาร แต่ในอีกหลายมุมของชีวิต เขาก็เป็นลูกของใครสักคน เป็นพ่อของใครสักคน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นที่รักของใครอีกหลายๆคน แน่นอนไม่ใช่เฉพาะคนของไทย แม้แต่ทหารกัมพูชาก็ไม่อาจพ้นเรื่องจริงข้อนี้ไปได้

เราคงได้แต่จำว่า อนาคตอย่าให้มีการปะทะแบบนี้ขึ้นอีกเลย เพราะที่สุดแล้วคนที่พ่ายแพ้หลังศึกก็คือประชาชนของทั้งสองประเทศนั่นเอง