
คอลัมน์ : ตีลังกาเล่าข่าว โดย กรรณะ
หลังจากตกเป็นฝ่ายตั้งรับมานาน โดยเฉพาะกับเรื่องกัมพูชา ที่สุด “ทักษิณ ชินวัตร” ก็เลือกจะไปเก็บตัวอีกต่อไป และเปิดหน้าออกมาสู้บ้าง
แต่การเปิดหน้าออกมาสู้ของ “ทักษิณ” นั้นย้ำให้เห็นว่าหมดยุคของเขาแล้วจริงๆ

หากเป็นประโยคเด็ดจากซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” ที่ว่า “พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำลาย” สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กับครอบครัวชินวัตรคือ “พ่อสร้าง ลูกใช้ พ่อทำลาย” คือสุดท้ายพ่อกลับมาเป็นคนทำลายสิ่งที่ตัวเองสร้างไว้ด้วยวิธีคิดแบบเดิมๆ
“ทักษิณ” ยังคงเป็น “ทักษิณ” คนเดิมที่คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเอง ไม่แปลกที่ในอดีตเขาจะคิดเช่นนั้น แต่กับวันนี้ไม่ใช่ ที่ในวันวาน โลกหมุมรอบ “ทักษิณ” นั่นก็เพราะเขากุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ทุกคนก็ต้องวิ่งเข้าหา
แต่กับเวลาที่เปลี่ยนไป ความปรารถนาที่จะกลับบ้าน ทำให้ “ทักษิณ” ไม่ได้อยู่ในสถานะศูนย์กลางจักรวาล หากต้องตกอยู่ในสถานะเบี้ยล่างที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ฝีมือ และเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มอำนาจ
แน่นอนว่าการศิโรราบ กระทั่งหักอุดมการณ์ ทอดทิ้งเพื่อนร่วมทาง ทำให้ทุกคนก็รู้ว่า ณ วันนี้คนมีอำนาจตัวจริงไม่ใช่เขาอีกต่อไป แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้โลกใบไหนเล่าจะยอมหมุนรอบเขา
ไม่ต้องข้ามไปกัมพูชา เอาแค่ในประเทศไทย คนที่เคยเป็นบริวารยังหาญกล้าเดินหน้ามาเทียบชั้น ข้าราชการที่เมื่อก่อนเคยสั่งซ้ายหันขวาหันตามแต่ใจวันนี้สั่งซ้ายก็หยุด สั่งขวาก็หยุด กลุ่มทุนก็ยังหมดความเกรงใจ
กระนั้นก็ดีความมั่นของเขายังอยู่เต็มร้อย อาจจะเป็นด้วยลักษณะนิสัย หรืออาจจะเป็นเรื่องลืมไปว่าไม่ใช่คนเดิม !!
และนั่นเองทำให้เขามองปัญหาผิดพลาดและแก้ปัญหาผิดจุด อย่างเรื่อง “ไทย – กัมพูชา” เขามองความขัดแย้งครั้งนี้ว่าเป็นเพียงเรื่องในครอบครัว และพยายามเอาตัวเข้ามาแก้ปัญหาตั้งแต่เริ่ม

ตอนแรก “ทักษิณ” ให้ความมั่นใจว่าเขาจะจัดการปัญหานี้โดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว กับ “สมเด็จฮุน เซน” แต่แล้วเวลาก็พิสูจน์ว่านาทีนี้ “สมเด็จฮุน เซน” ไม่จำเป็นต้องง้อหรือตามใจอดีตนายกฯ จากเมืองไทยอีกต่อไป
“ทักษิณ” ลั่นวาทะที่คุยกับ “เคลียงฮวด” ล่ามในคลิปลับ โดยเล่าว่าเขาบอกว่า “มึงบอกเเจ้านายมึงสิว่า ลูกเราเป็นนายกฯทั้งสองประเทศ เราจะทำสงครามใช่ไหม?”
ฟังดูขึงขังสะใจ แต่นี่เองที่ “ทักษิณ” ทำพลาดอีกครั้ง เพราะเป็นการตอกย้ำว่า เขาไม่ได้มองปัญหานี้เป็นปัญหาของชาติ แต่เป็นปัญหาของสองตระกูล “ชินวัตร และ ฮุน” เท่านั้น หากสองตระกูลเคลียร์กันได้เรื่องราวก็จะจบ
เมื่อตีโจทย์ปัญหาผิด ทำให้การแก้ปัญหามาผิดทาง เราจึงเห็นทั้งไทยและ “ชินวัตร” ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ
หรืออย่างกรณีปัญหา “ภาษีตอบโต้” กับ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตอนแรก “ทักษิณ” ก็มองว่าเขามีความสนิทสนมกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตอนแรกเขาก็บอกว่า เรื่องนี้เจรจาได้ เขาพร้อมจะเจรจากับ “ทรัมป์” และคุยกับคนใกล้ชิดมาหลายทีแล้ว
แต่ที่สุดผลก็แสดงให้เห็นว่า “ทักษิณ” ไม่ได้เป็นศูนย์กลางที่ “ทรัมป์” ต้องฟัง เพราะไทยโดนภาษาตอบโต้ไป 36 % มากเป็นลำดับต้นๆของโลก
เวลาผ่านไป ไทยไม่ได้มีโอกาสที่จะคุยหรือเจรจาอะไรให้เป็นปะโยชน์ เพราะที่สุดแล้ว “ทรัมป์” และ สหรัฐฯ ก็ไม่ได้มองเรื่องนี้จากความสัมพันธ์ส่วนตัว หากแต่เป็นการเจรจาอันเนื่องมาจากผลทางธุรกิจเท่านั้น
จนล่าสุด “ทักษิณ” ก็ยังเข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้นำ และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ โดยเข้า “บ้านพิษณุโลก” วันที่ “ทีมไทยแลนด์” หารือว่าจะเอายังไงกับ “ภาษีตอบโต้” ก่อนเส้นตายจะมาถึงในต้นเดือนสิงหาคม

คำถามคือ ถึงวันนี้ “ทักษิณ” รู้ตัวหรือยังว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมอีกต่อไป ยิ่งทำเท่าไหร่ยิ่งทำให้ภาพของ “ลูกสาว” ในฐานะนายกรัฐมนตรียิ่งดูแย่ลงๆเรื่อยๆ
วันนี้ยังมีใครอีกหรือไม่ที่คิดว่า “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯ และมีใครยังเชื่ออีกหรือไม่ว่าการบริหารของ “แพทองธาร” ประสบความสำเร็จ
น่าสงสารว่า หากจะล้มเหลวหรือจะสำเร็จ ก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นผลงานของเธอ แต่ทุกคนจะคิดว่า นี่คือผลงานของพ่อผู้ถูกสังคมยุคใหม่ก้าวข้าม ไปแล้ว
อดีตพ่อของเธออาจจะรุ่งเรือง อดีตพ่อของเธอทำให้เธอเป็นนายกฯ แม้จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่ปัจจุบันพ่อขอเธอกำลังทำลายทั้งตัวเธอและตัวเองลงไปเรื่อยๆ