ความมั่นคงของชาติต้องมาก่อน! แม้เศรษฐกิจไทยอาจกระทบรุนแรง จากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

ไทยต้องเลือก! ความมั่นคงของชาติต้องมาก่อน แม้เศรษฐกิจไทยอาจกระทบรุนแรง จากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

คอลัมน์ : ห้อยหัววิเคราะห์ข่าว

เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วง 5 วันที่ผ่านมา โดยเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม จากการที่ทหารกัมพูชาได้เริ่มเปิดฉากยิงทหารไทยส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจของประชาชนทั้งฝั่งประเทศไทยและฝั่งกัมพูชา การท่องเที่ยว รวมถึงเศรษฐกิจชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ

ถึงแม้ผู้นำทหารของทั้งไทยและกัมพูชาจะมีการเจรจาเบื้องต้นเพื่อหยุดยิงไปแล้วในวันอังคารที่ผ่านมา หากแต่สถานการณ์ตามแนวชายแดนยังค่อนข้างเปราะบางและไม่มีการการันตีใดๆ ว่าการปะทะกันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อใด ทั้งนี้ อยู่ที่การเจรจาของผู้นำกองทัพและรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ความมั่นคงทางอธิปไตยและผลประโยชน์สูงสุดของประเทศต้องมาก่อน

ในขณะที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลก็คงต้องเตรียมความพร้อมในการเผชิญและหามาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว รวมถึงปฏิบัติการทางการทูตและการสื่อสารภายใต้ภาวะวิกฤตให้กับทั้งประชาชนไทยและกับสังคมโลกให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อพิพาทและการสู้รบทางการทหาร ที่จะต้องฉับไว ทันต่อสถานการณ์ และเป็นองคาพยพเดียวกับกองทัพไทย

ทั้งนี้ เราค่อนข้างจะมีประสบการณ์ถึงความไร้สัจจะและไม่ยึดมั่นในข้อตกลงใดๆ ของรัฐบาลและผู้นำทหารฝ่ายกัมพูชาที่พร้อมละเมิดข้อตกลงได้ตลอดเวลา รวมถึงการทำสงครามที่ไร้รูปแบบไม่ยึดมั่นต่อจริยธรรมหรือกติกาสากลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง การยิงจรวดหลายลำกล้องใส่โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และบ้านเรือนประชาชน เป็นต้น หากศึกชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชายืดเยื้อย่อมจะมีผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของไทยและกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงประชาชนจำนวนกว่า 180,000 คนที่อาศัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่มีข้อพิพาทที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตนเองไปยังศูนย์อพยพที่ภาครัฐและทางจังหวัดจัดหาไว้ให้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการราชการแทนนายกรัฐมนตรีของไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้มีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ภายใต้แรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกาที่มีประเด็นการเจรจาภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังคงค้างคาอยู่ และอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในภาคเกษตร ภาคผลิต และภาคการส่งออกอย่างรุนแรง

หลังจากที่กองกำลังทหารของกัมพูชาได้ทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเป็นระยะๆ ที่เกิดขึ้นหลังเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ผู้นำกองทัพทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้พบปะเจรจาเบื้องต้นเมื่อวานนี้ (29 กรกฎาคม)โดยมีข้อตกลง 7 ประการ ซึ่งเป็นผลหารือระหว่างแม่ทัพไทยและกัมพูชาหลังหยุดยิง อันได้แก่ 1) หยุดยิงเพื่อยุติการปะทะและลดการสูญเสีย 2) คุ้มครองประชาชน ไม่มีการโจมตีที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 3) ห้ามเสริมกำลัง ห้ามนำกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์เข้าไปในพื้นที่พิพาท 4) ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง ไม่เคลื่อนย้ายกำลังพลภายในพื้นที่ชายแดน 5) อำนวยความสะดวกการส่งกลับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต 6) จัดตั้งชุดประสานงานเฉพาะกิจ ฝ่ายละ 4 คน สื่อสารและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และ 7) รอผลประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม นี้ เพื่อให้ข้อตกลงได้รับการรับรองและมีผลบังคับใช้ทั้ง 2 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงหยุดยิงดูเหมือนจะเป็นเพียง “การพักรบ” ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชาขาดความจริงใจในการใฝ่หาสันติภาพ หากเพียงแต่ต้องการสร้างกระแสชาตินิยมในหมู่ประชาชนของตนเอง รวมทั้งการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความนิยมของรัฐบาลฮุน เซน ในสายตาประชาชนชาวกัมพูชาและสังคมโลก

InnovestX ได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยจากสภาวะสงครามไทย-กัมพูชา จากการหดตัวของจีดีพีที่ 0.1-0.2% หากการสู้รบยุติโดยเร็ว ไปจนถึงการทรุดฮวบของจีดีพีที่ 4.0-6.0% หากการสู้รบยืดเยื้อและเกิดสงครามเต็มรูปแบบระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ บทเรียนจากเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงปี 2551-2554 สะท้อนให้เห็นว่า ข้อตกลงหยุดยิงที่ไม่สามารถจัดการปัจจัยเชิงโครงสร้างของความขัดแย้งอย่างจริงจังมักเป็นเพียงการหยุดพักเพียงชั่วคราวก่อนจะนำไปสู่การปะทะรอบใหม่ในที่สุด ทั้งนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทั้ง 2 ประเทศจะรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาคการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทยและกัมพูชาในขณะนี้

การค้าชายแดน : มูลค่าการค้าระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่กว่า 3.1 พันล้านดอนลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปีก่อนหน้า โดยไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของกัมพูชา โดยเฉพาะการค้าชายแดนที่มีมูลค่ากว่า 176,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการปิดจุดผ่านแดน

การท่องเที่ยว : ทั้งไทยและกัมพูชาพึ่งพาการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูง โดยไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวที่ 12% ของจีดีพี และกัมพูชาพึ่งพาที่ 9% (ข้อมูลปี 2567) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่าไทยจะได้รับผลกระทบจำกัดเพราะแหล่งท่องเที่ยวหลักส่วนใหญ่อยู่ไกลจากชายแดน ในขณะที่กัมพูชาจะเผชิญผลกระทบมากกว่า เพราะนักท่องเที่ยวมองว่าไม่ปลอดภัยและไม่มีฐานนักท่องเที่ยวประจำเหมือนไทย นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติบางส่วนยังไปท่องเที่ยวบางเมืองของกัมพูชาผ่านด่านชายแดนของประเทศไทยอีกด้วย

แรงงานกัมพูชา : แรงงานกัมพูชาคิดเป็นกว่า 80% ของแรงงานภาคเกษตรในจังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะในกิจกรรมการเก็บผลไม้และบรรจุภัณฑ์ การปิดชายแดนเป็นเวลานานจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเกษตรไทย โดยประธานหอการค้าจันทบุรีประเมินว่าหากปิดจุดผ่านแดนมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ความเสียหายอาจสูงกว่า 1,000 ล้านบาท สิ่งที่น่ากังวลไม่น้อยอีกประการหนึ่ง คือผลกระทบต่อ “แรงงานกัมพูชา” ในประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภาคก่อสร้าง หากรัฐบาลกัมพูชามีคำสั่งเรียกแรงงานกลับประเทศ หรือเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองภายใน อาจทำให้แรงงานบางส่วนกลับประเทศด้วยความไม่มั่นใจ ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้ต้นทุนแรงงานในไทยที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ข้อมูล จากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว รายงาน ณ สิ้นเดือน พฤษภาคม 2568  ประเทศไทยมีแรงงานจากกัมพูชา รวมทั้งสิ้น  512,184 คน โดยกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ มากสุด รองลงมา คือ ชลบุรี  ขณะเดียวกัน พบ ทำงานในกิจการก่อสร้างมากที่สุด รองลงมาเป็นกิจการต่อเนื่องการเกษตร 

ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี